จับตา! “พีระพันธุ์” เบรก “แม่เมาะ” ขุดถ่านหิน จ่อกระทบค่าไฟ “เม.ย.” พุ่งอีก 10 สตางค์

“ตรีรัตน์” โพสต์ตั้งคำถามค่าไฟอาจขึ้นอีก 7-10 สตางค์ หลัง “พีระพันธุ์” สั่งระงับขุดถ่านหิน “แม่เมาะ” ทำให้การไฟฟ้ามีภาระมากขึ้นถึงเดือนละ 1,900 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีก่อนหน้านี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สั่งการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระงับการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะ เนื่องจากข้อกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง หลังพบว่ามีการร้องเรียนและอุทธรณ์จากบริษัทที่เข้าร่วมประมูล เช่น บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ที่ขอความเป็นธรรมในการพิจารณาผลการประมูล

ล่าสุดวันนี้ (13 มี.ค.68) นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส นักธุรกิจด้านพลังงานสะอาด และอดีตสมาชิกพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก และแพลทฟอร์มเอ๊กซ์ (X) เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า “วันนี้การใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้นประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าจากหลายประเภท ทั้ง แก๊ส โซลาร์ ลม ขยะ ถ่านหินลิกไนต์ เป็นต้น ซึ่งสูตรการคิดค่าขายไฟให้ประชาชน ก็คือการเอาต้นทุนซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเหล่านี้มาเฉลี่ยต้นทุน บวกค่าสายส่ง และค่าบริการของการไฟฟ้าฯ เป็นต้น

โดยอัตราค่าซื้อไฟก็แตกต่างกันออกไป เช่น โรงไฟฟ้าแก๊สก็ประมาณ 3 บาทกลางๆต่อหน่วย(ขึ้นอยู่กับต้นทุนแก๊ส) โรงไฟฟ้าโซลาร์ ลม Adder ก็อยู่ประมาณ 8-13 บาท/หน่วย ส่วนถูกที่สุดก็คือโรงไฟฟ้าถ่านหินประมาณ 1.5 บาท/หน่วย ซึ่งปัจจุบันโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตถือว่าเป็นโรงไฟฟ้าที่ต้นทุนการผลิตไฟต่ำที่สุด

ซึ่งหากประเทศไทยทำสัญญาซื้อไฟกับโรงไฟฟ้าที่ต้นทุนถูกมากๆ แน่นอนว่าค่าไฟก็จะถูกลงครับ อย่างเช่นโครงการประมูลโซลาร์ล๊อตใหม่ 3,600 เมกะวัตต์ ก็จะถูกกว่าโครงการโซลาร์แบบมี Adder ล๊อตเก่า เพราะราคาประมูลใหม่นั้น fix ราคาซื้อที่ 2.16 บาท/หน่วย ตลอดอายุสัญญา (ในขณะที่สัญญาเก่า+ค่าแอดเดอร์+FT กลับสูงถึง 8-13บาท/หน่วย)

แต่วันนี้ประเทศไทยกำลังเข้าขั้นวิกฤตจากการบริหารงานที่ผิดพลาดอีกครั้งของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

เนื่องจากโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ที่ปัจจุบันมีกำลังผลิตถึง 2,400 เมกะวัตต์ และเป็นโรงไฟฟ้าที่ผลิตไฟได้ถูกที่สุดของประเทศไทย กำลังมีปัญหาด้านการผลิต เพราะคุณพีระพันธุ์ไปสั่งคัดค้านการซื้อถ่านหินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ทั้งๆ ที่มีการประมูลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

นายตรีรัตน์ ยังได้เปิดเผยข้อมูลระบุว่า มี “นายทุนใหญ่” ผู้เสียผลประโยชน์แพ้ประมูลขุดถ่านหินไปวิ่งอุทธรณ์ โดยนายพีระพันธุ์ก็รับลูกด้วยความรวดเร็ว จนน่าแปลกใจและเป็นที่มาของการ “เบรก” การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ในการจัดซื้อถ่านหินซึ่งเป็นเชื้อเพลิงเดียวของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ทั้งที่ กฟผ.ได้เคยออกมาชี้แจงแล้วว่าการประมูลขุดเหมืองถ่านหินเป็นไปอย่างโปร่งใส

ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ประชาชนต้องรับกรรมที่ตามมา เพราะโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะต้องลดกำลังการผลิตจาก 2,400 เมกะวัตต์เหลือ 1,285 เมกะวัตต์ เนื่องจากถ่านหินในคลังมีไม่เพียงพอ โดย กฟผ.ต้องเปลี่ยนไปเดินโรงไฟฟ้าก๊าซแทน ซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า และยังต้องนำเข้าก๊าซ LNG มาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รัฐต้องแบกต้นทุนที่สูงขึ้นถึงเดือนละ 1,300-1,900 ล้านบาท และอาจมีการปรับค่าไฟขึ้นอีกประมาณ 7-10 สตางค์ ตั้งแต่เดือน เม.ย. 68 เป็นต้นไป

คำถามคือนายพีระพันธุ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และเป็นผู้สั่งคัดค้านการรับซื้อถ่านหินเข้าโรงไฟฟ้าแม่เมาะ พร้อมรับผิดชอบลาออกหรือไม่ หากค่าไฟมีการปรับขึ้น

 

ทั้งนี้ จากข้อมูลที่นายตรีรัตน์นำเสนอ เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับงวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ที่ยังไม่สามารถลดค่าไฟลงให้ต่ำกว่า 4.15 บาทในงวดปัจจุบันได้ โดยมีการเสนอ 3 ทางเลือกเพื่อกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ โดยคาดว่าจะมีการประกาศอัตราสุดท้ายภายในปลายเดือนมีนาคมนี้ โดย กกพ. ได้เสนอแนวทางปรับค่าไฟฟ้า 3 ทางเลือก ประกอบด้วย

1.ปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าเป็น 5.16 บาทต่อหน่วย เพื่อชำระคืนภาระต้นทุนคงค้างทั้งหมดของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง

2.ปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าเป็น 4.95 บาทต่อหน่วย เพื่อทยอยชำระคืนภาระต้นทุนคงค้างของ กฟผ. ให้สมดุลกับความสามารถในการรับภาระของผู้ใช้ไฟฟ้า

3.คงค่าไฟฟ้าไว้ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย เท่ากับอัตราปัจจุบัน โดยจะทยอยชำระคืนภาระต้นทุนคงค้างบางส่วนของ กฟผ. เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน

ทั้งนี้ กกพ. จะเปิดรับฟังความคิดเห็นไปจนถึงวันที่ 24 มีนาคม 2568 ก่อนจะสรุปผลและประกาศอัตราค่าไฟฟ้าที่จะใช้จริงสำหรับงวดใหม่ ซึ่งการปรับค่าไฟฟ้าจะขึ้นอยู่กับต้นทุนพลังงานทั้งจากก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน และถ่านหิน รวมถึงภาระหนี้สินของภาคการผลิตไฟฟ้า

ด้านนักวิเคราะห์พลังงานมองว่า หากมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าตามแนวทางที่หนึ่งหรือสอง อาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อและต้นทุนภาคอุตสาหกรรม แต่หากตรึงราคาไว้ที่ระดับ 4.15 บาทต่อหน่วย อาจทำให้ภาระต้นทุนของ กฟผ. คงค้างต่อไป และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของหน่วยงาน

Back to top button