
MEDEZE ส่งซิกรายได้ Q1 โต 30% เร่งบุกตลาด “สเต็มเซลล์รากผม” หวังสร้าง S-Curve ใหม่
MEDEZE ส่งซิกรายได้ไตรมาส 1/68 โต 20-30% แม้เป็นโลว์ซีซั่น เดินหน้าขยายธุรกิจสเต็มเซลล์-เซลล์รากผม รับเทรนด์สุขภาพ พร้อมลงทุนเทคโนโลยีชีวภาพ หวังสร้าง S-Curve ใหม่ รายได้เติบโตต่อเนื่อง พร้อมรับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐที่ผลักดันผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง ส่งเสริมไทยสู่ Medical Hub
นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการดำเนินงานในปี 2568 คาดว่ารายได้จะเติบโตที่ระดับ 25-30% ทะลุ 1,000 ล้านบาท จากปี 2567 ที่มีรายได้รวม 897.22 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นรายได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องของบริษัท
โดยการเติบโตหลัก ๆ ของบริษัทจะมาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจให้บริการตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และรับฝากเซลล์ต้นกำเนิดในประเทศ จากการเพิ่มขนาดทีมขาย เพิ่มพันธมิตรทางการค้าที่เป็นตัวแทนให้บริการ หรือ Dealer และตัวแทนจำหน่าย หรือ Agent ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีความต้องการมาจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิด หรือ Stem Cell ได้มากขึ้น
และกลุ่มบริษัทมีเครือข่ายพันธมิตรที่เป็นบุคคลากรทางการแพทย์ รวมถึงสถานพยาบาลที่เพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจใหม่ MEDEZE Hair Renaissance ธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมแห่งแรกในเอเชีย ที่ให้บริการตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และรับฝากเซลล์รากผม ซึ่งเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายให้บริการลูกค้า 500 เคส ภายในปี 2568 และเพิ่มเป็น 5,000 เคส ภายในปี 2573
ขณะเดียวกันบริษัทได้เดินหน้าในการขยายธุรกิจไบโอเทคโนโลยีในประเทศฟิลิปปินส์ ในการจัดตั้งธนาคารเซลล์ต้นกำเนิด หรือ Cell Banking Biotechnology ซึ่งประกอบไปด้วย ห้องปฏิบัติการด้านตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดประสิทธิภาพสูง เพื่อรองรับความต้องการในการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดในฟิลิปปินส์ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ในอนาคต รวมถึงรายได้ธุรกิจที่ปรึกษาด้านธุรกิจจากต่างประเทศ และรายได้จากค่าสิทธิในการใช้แบรนด์สินค้า “MEDEZE” จากตัวแทนให้บริการในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนในการขยายธุรกิจในระยะยาว บริษัทได้เตรียมสร้าง “ธนาคารเซลล์ต้นกำเนิดแห่งใหม่” โดยได้ซื้อที่ดิน 30 ไร่ มูลค่า 552 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และรองรับการเติบโตในระยะยาว ตามความต้องการของตลาด Stem Cell ที่คาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต ทั้งฐานลูกค้าชาวไทย และต่างชาติ ซึ่งได้รับปัจจัยเชิงบวกจากการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนธุรกิจเซลล์ต้นกำเนิดอย่างเต็มที่ และจัดให้อยู่ในกลุ่มนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หรือ ATMPs มีการประกาศแผนชัดเจนในการสนับสนุนธุรกิจเซลล์ต้นกำเนิดเป็นธุรกิจที่สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และบริษัทยังมุ่งเน้นในการพัฒนาระบบ AI อัจฉริยะ “MEDEZE Plus Auto Matching Software” เพื่อใช้ วิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียและพฤติกรรมของนักลงทุน ด้วยงบประมาณ 12 ล้านบาท โดยการพัฒนาระบบ AI นี้ จะช่วยให้ MEDEZE สามารถทำตลาดได้แม่นยำขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงนักลงทุนที่มีศักยภาพ
นายพิพัฒน์ พิศณุวงรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายบัญชีและการเงิน บมจ. เมดีซ กรุ๊ป เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ ในงาน Opportunity Day ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 ว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2567 มีรายได้รวม 874.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.60% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 707.37 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 338.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.39% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 239.57 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากกลุ่มธุรกิจสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายพิพัฒน์ เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจในอนาคตว่า โดยปกติ ไตรมาสแรก ถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ของบริษัท เนื่องจากอัตราการคลอดบุตรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงอื่นของปี อีกทั้งในปีที่ผ่านมาเป็น ปีมังกร ทำให้หลายครอบครัวเร่งมีบุตรในช่วงปลายปี ส่งผลให้ตัวเลขในไตรมาสแรกของปีนี้ปรับตัวลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม แม้ภาวะเศรษฐกิจอาจมีผลกระทบบ้าง แต่แนวโน้มระยะยาวยังเป็นบวก เนื่องจากปัจจุบัน อัตราการมีบุตรยากเพิ่มขึ้น ทำให้พ่อแม่ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพของลูกมากขึ้น โดยเฉพาะการเก็บ สเต็มเซลล์ช่วงแรกเกิด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเก็บรักษา นอกจากนี้ บริษัทเชื่อว่า บริการใหม่ๆ เช่น การเก็บเซลล์รากผม (Hair Follicle) และการตรวจศักยภาพภูมิคุ้มกัน จะช่วยเสริมการเติบโตของธุรกิจ โดยคาดว่าการเติบโตของรายได้ในไตรมาส 1/2568 จะอยู่ที่ ระดับ 20-30% เช่นเดิม
นายพิพัฒน์ เปิดเผยถึงโอกาสในตลาดสเต็มเซลล์รากผมว่า เป็นตลาดขนาดใหญ่ โดยปัจจุบันมีประชากรที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมทั่วประเทศราว 9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2,000-4,000 ล้านบาทต่อปี
หาก MEDEZE สามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้เพียง 2% ก็จะมียอดขายปีละ 40-50 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณงานที่ท้าทายแล้ว และหากตลาดให้การตอบรับเพิ่มขึ้น จนการใช้สเต็มเซลล์รากผมกลายเป็นทางเลือกหลักแทนการปลูกผมแบบเดิม ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็น S-Curve ตัวใหม่ของบริษัท
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศนโยบายผลักดัน ผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medicinal Products – ATMP) ซึ่งครอบคลุมทั้งสเต็มเซลล์, เอ็นเคเซลล์ (Natural Killer Cell), เซลล์รากผม, ยีนบำบัด (Gene Therapy) และเทคโนโลยีชีวภาพเกี่ยวกับเนื้อเยื่อ โดยทั้งหมดจะถูกจัดให้เป็น ยา ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พร้อมทั้งมีการจัดตั้ง Sandbox เพื่อเร่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้ ซึ่งสอดคล้องกับแผนของรัฐบาลในการผลักดัน Medical Hub เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ด้าน นางสาวสุภากาญจน์ กิจโกศล ประธานเจ้าหน้าที่สายบัญชีและการเงิน บมจ. เมดีซ กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทได้รับเงินระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 เป็นจำนวน 2,412 ล้านบาท
สำหรับแผนการใช้เงิน บริษัทได้จัดสรรเงินลงทุนในโครงการสำคัญ ได้แก่ ลงทุนในบริษัทย่อย เมดีซ แฮร์ เรเนซองส์ จำกัด ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 เป็นจำนวน 100 ล้านบาท, ลงทุนในเทคโนโลยีโรบอทเพาะเลี้ยงเซลล์ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ 400 ล้านบาท หลังจากการลงทุนดังกล่าว บริษัทเหลือเงิน 1,912 ล้านบาท และได้นำไปหักค่าธรรมเนียมอันเดอร์ไรเตอร์ 71 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนคงเหลือ 1,841 ล้านบาท สำหรับการดำเนินธุรกิจและขยายโครงการในอนาคต