
JCR คงอันดับความน่าเชื่อถือไทยที่ A มั่นใจรัฐจัดการหนี้สาธารณะไม่เกินเพดาน 70%
บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของญี่ปุ่น คงอันดับความน่าเชื่อถือไทยที่ A และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของไทย ที่ระดับมีเสถียรภาพ เชื่อรัฐบาลบริหารจัดการหนี้สาธารณะไม่เกินเพดาน 70% ได้
วันนี้ (14 มี.ค.68) นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ “A” และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับ “มีเสถียรภาพ” (Stable Outlook)
โดย JCR คาดว่า เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Gross Domestic Product (GDP) Growth) อยู่ที่ 2.5% ในปี 2567 และจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2568 เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงิน ที่จะเป็นแรงสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงการใช้จ่ายของภาคเอกชนและการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น และการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าการขาดดุลทางการคลัง จะยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ที่ 4.5% ในปี 2568 ซึ่งเป็นผลส่วนหนึ่งจากการดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลไทยยังคงรักษาระดับฐานะการคลังให้อยู่ในระดับที่ดี (Good Fiscal Position) ส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Public Debt to GDP) ปี 2567 อยู่ที่ 63.2%
ซึ่ง JCR เชื่อว่า รัฐบาลจะสามารถบริหารจัดการหนี้สาธารณะเพื่อรักษาระดับหนี้สาธารณะไม่ให้เกินกรอบเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ 70% อีกทั้งหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นการออกพันธบัตรรัฐบาลภายในประเทศ และสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะคงค้าง ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 1.0%
นอกจากนี้ JCR มองว่า รัฐบาลไทยได้ใช้มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Investments) โดยเฉพาะการมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ การลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Hub) ในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้า และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้ว่าผลจากการดำเนินนโยบายทางการค้าของสหรัฐอเมริกา อาจจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตดังกล่าว แต่ยังคงเป็นปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่สำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไป
ส่วนภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) มีความแข็งแกร่งและทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และสามารถรองรับผลกระทบที่เกิดจากปัจจัยภายนอก (External Shocks) ได้
ผอ.สบน. กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจัยสำคัญที่ JCR จะติดตามสำหรับพิจารณาการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของประเทศไทย คืออัตราการเกิดที่ลดลงและการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ อาจจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว