
วิสัยทัศน์ใหม่! “ทักษิณ” ชูไทยฮับ “เศรษฐกิจดิจิทัล” ดึงเม็ดเงินลงทุนด้วยพลังงานราคาถูก
“ดร.ทักษิณ ชินวัตร” เปิดวิสัยทัศน์ในเวที The World’s Next Opportunities and Beyond ชี้ไทยมีศักยภาพก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลาง "เศรษฐกิจดิจิทัล" เร่งทำ Sandbox-Stable Coin ผูกกับพันธบัตรรัฐบาล คาดชัดเจน 2-3 เดือนนี้ พ่วงทำ ”บล็อกเชน” ของประเทศ คาดเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ พร้อมลดค่าไฟเหลือ 2.02-2.35 บาท หวังดึงต่างชาติลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 14 มี.ค.68 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมงาน MFC’s 50th AnniversaryThe World’s Next Opportunities and Beyond เปิดโอกาสลงทุนแห่งอนาคต“ และร่วมเสวนาในหัวข้อ “โอกาสและอนาคตของการลงทุน” ที่จัดโดยความร่วมมือระว่างเนชั่นกรุ๊ป ร่วมกับ บริษัทจัดการกองทุนแห่งแรกของประเทศไทย หรือ MFC
ด้านนายคริส แบรดลีย์ ที่ปรึกษากลยุทธ์จาก McKinsey & Company ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษโดยระบุว่า อุตสาหกรรมทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันที่สูง ซึ่งประเทศไทย และกลุ่มประเทศในอาเซียนจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก
อีกทั้งได้ยกตัวอย่างให้เห็นว่าในปี 2005 นั้น หุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่ที่สุด 10 อันดับในสหรัฐในขณะนั้นมีทั้ง ซิตี้ บีพี เชลล์ เอ็กซอนโมบิล และไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีเพียงหนึ่งเดียวในท็อป 10 ขณะนั้น ซึ่งผ่านมา 20 ปี หลังจากนั้นในปี 2025 10 อันดับหุ้นยักษ์ใหญ่ใน S&P 500 มีบริษัทเทคฯอยู่ถึง 9 บริษัท ชี้ให้เห็นถึงผลวัตของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรม โดยในสมัยก่อนมีธุรกิจทั้งบริษัท พลังงาน ธฯาคารพาณิชย์ และอุตสาหกรรมการผลิต มีการเปลี่ยนแปลงทางผลวัตที่ช้า และน้อยมาก แต่ในขณะนี้มีอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ที่เข้ามาเป็นผู้เล่นหลัก ซึ่งมีทั้งการใช้ซอฟต์แวร์ เทคโนโลยีที่สูง รวมถึงเงินลงทุนใน R&D โดยมีกำไร และการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ทั้งนี้ แบรดลีย์ชี้ให้เห็นว่า บริษัทในอาเซียนแทบไม่มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมครั้งนี้ อย่างไรก็ดี เขายังระบุว่าทั้งไทย และประเทศในอาเซียนก็ยังมีสัญญาของการเปลี่ยนแปลงให้เห็นอยู่ ยกตัวอย่างเช่น อีวี ซึ่งขณะนี้ไทยก็เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในด้านการผลิต ด้านโรงงานแบตเตอรี่ก็มีอินโดฯที่กำลังสร้างโรงงาน 1GW ส่วนเซมิคอนดักเตอร์ก็มีมาเลย์ฯที่ส่งออกในสัดส่วนถึง 5% ของโลก นอกจากนั้นยังมีเวียดนามที่กำลังมาแรง
สำหรับเทคโนโลยีชีวภาพในไทยมีทั้งเบทาโกร,ซีพีเอฟ ส่วนอีคอมเมิรซ์นั้นอาเซียนถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ซึ่งมีคนใช้งานถึง 460 ล้านคนในอาเซียน โดยมีทั้ง Shopee, Tokopedia ในขณะที่พัฒนาการด้านอวกาศประเทศไทยก็เห็นถึงการขับเคลื่อนอยู่จาก mu Space นอกจากนั้นยังมีสิงคโปร์ และเวียดนามด้วยเช่นกัน
ดังนั้นแบรดลีย์จึงชี้ให้เห็นว่าเราเห็นสัญญาณเหล่านี้ และรู้ว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนทิศในการทำธุรกิจ ซึ่งหากทำสำเร็จ ประเทศไทย และอาเซียนก็จะยกระดับขึ้นมาอยู่ในกลุ่มการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ของโลกได้
จากนั้นในช่วงที่สองของงาน ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทยโดยระบุว่า สำหรับประเทศไทยนั้นรัฐบาลต้องการที่จะทำให้ไทยเป็น “ศูนย์กลางทางคริปโต และบล็อกเชน” ซึ่งหลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาประกาศสนับสนุนคริปโต ทำให้ไทยนั้นอยู่ไม่ห่างจากความเป็นผู้นำในด้านนี้ และจะสามารถตามสหรัฐทัน
โดยขณะนี้กำลังจัดเตรียมทำ “แซนบอกซ์” ที่ภูเก็ต เพื่อให้สามารถใช้จ่ายผ่านคริปโตได้ นอกจากนั้นแล้วจะยังมี Stable Coin ที่ผูกกับพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งน่าจะเห็นความชัดเจนในอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้ ทั้งนี้รัฐบาลจะจัดทำบล็อกเชนของประเทศซึ่งคาดว่าจะเห็นภายในปีนี้
ดร.ทักษิณ ระบุอีกว่า ความต้องการของต่างชาติในการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย โดยเปรียบดาต้าเซ็นเตอร์เหมือน “น้ำมันดิบ” ซึ่งจำเป็นต้องมี “โรงกลั่น” โดยดาต้าเซ็นเตอร์นั้นก็จำเป็นที่จะต้องมี “AI” และ “พลังงาน” ในการใช้งาน ซึ่งพลังงานเหล่านั้นจะมาจากพลังงานสะอาด
ดังนั้นเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องมีค่าไฟที่ต่ำ เพื่อเป็นแรงดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยขณะนี้ทั่วโลกมีต้นทุนพลังงานอยู่ที่ราว 2 เซนต์ (ดอลลาร์สหรัฐ) หรือราว 0.67 บาท ในขณะที่ต้นทุนพลังงานของไทยอยู่ที่ 11 เซนต์ หรือราว 3.7 บาท ซึ่งในเบื้องต้นนั้นตั้งใจอยากให้ลดได้เหลือราว 8 เซนต์ หรือราว 2.7 บาท โดยจากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติพบว่า ระดับ 6-7 เซนต์ หรือราว 2.02-2.35 บาท เป็นช่วงที่มีความน่าดึงดูดที่ต่างชาติจะเข้ามาลงทุน แต่เบื้องต้นอยากให้ประเทศไทยมีต้นทุนพลังงานที่ 8 เซนต์ก่อน โดยไทยนั้นมีที่ดินอยู่มากสามารถรองรับการก่อสร้างต่างๆ ได้เป็นอย่างดี จะเหลือก็แต่ต้นทุนพลังงานเท่านั้น
ขณะที่การนำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้งาน มองว่าไทยสามารถเป็นผู้ริเริ่มในการปฎิรูปการใช้งาน AI ได้โดยไม่จำเป็นต้องรอต่างประเทศทำเพื่อเอาเป็นแบบอย่าง โดยยกตัวอย่างว่าโรงพยาบาลก็สามารถใช้เอไอได้ โดยเฉพาะโรงพยาบาล หรือคลีนิคเล็กๆที่มีหมอเพียงคนเดียวก็สามารถใช้เอไอเป็นตัวช่วยในการคิดวิเคราะห์ได้
นอกจากนี้ยังเห็นว่าประเทศไทยควรที่จะต้องเริ่มปฎิบัติตั้งแต่ตอนนี้ และน้อมรับทั้ง เศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยี เอไอ เพื่อให้สามารถตามพัฒนาการของประเทศต่าง ๆ ได้ทันไม่เช่นนั้นไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยหวังที่จะตั้งประเทศไทยให้เป็นเซฟโซนของดาต้าเซ็นเตอร์ โดยจะเรียกว่าสถานทูตดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะรวบรวมดาต้าเซ็นเตอร์ของหลาย ๆ ประเทศไว้ด้วยกัน โดยจะเป็นการยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านดาต้าเซ็นเตอร์ และเอไอ
ดร.ทักษิณ กล่าวอีกว่า สำหรับการนำเอาพลังงานนิวเคลียร์มาใช้นั้น ขณะนี้พลังงานนิวเคลียร์ยังมีราคาที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับพลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานอื่นๆ ที่ไทยมีอยู่แล้ว และหากสามารถลดการนำเข้า LNG ได้ก็จะยิ่งช่วยให้ต้นทุนพลังงานลดลงไปอีก จึงเป็นเหตุที่ส่งผลให้เขา และรัฐบาลพยายามผลักดันให้ลดค่าไฟ