
WTI-Brent ปิดบวก 1% นักลงทุนจับตา “สงครามยูเครน-คว่ำบาตรรัสเซีย”
ราคาน้ำมันดิบ WTI และเบรนท์ปิดบวก 1% นักลงทุนประเมินผลกระทบสถานการณ์สงครามยูเครนและแนวโน้มการคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซีย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ (14 มี.ค.) โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 63 เซนต์ หรือ 0.95% ปิดที่ 67.18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ส่งมอบเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 70 เซนต์ หรือ 1.0% ปิดที่ 70.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบทั้งสองประเภทแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากสัปดาห์ก่อน สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของตลาดพลังงานในช่วงที่นักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์สงครามในยูเครนอย่างใกล้ชิด
นักวิเคราะห์จากคอมเมิร์ซแบงก์ (Commerzbank) ระบุว่า ราคาน้ำมันเบรนท์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และแนวโน้มราคาจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับพัฒนาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะท่าทีของรัสเซียต่อข้อเสนอหยุดยิงของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เปิดเผยว่ารัสเซียสนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวในหลักการ แต่ยังต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ทำให้โอกาสในการยุติความขัดแย้งในระยะสั้นยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
นักลงทุนยังคงจับตาผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซียที่อาจส่งผลต่ออุปทานพลังงานโลก ล่าสุด รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมปล่อยให้ใบอนุญาตทำธุรกรรมพลังงานกับธนาคารรัสเซียหมดอายุ ขณะที่จีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรัสเซียรายใหญ่ กำลังควบคุมการนำเข้าเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการลงโทษจากตะวันตก
นอกจากนี้ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) เตือนว่า ปริมาณน้ำมันทั่วโลกอาจเกินความต้องการประมาณ 600,000 บาร์เรลต่อวันในปีนี้ เนื่องจากการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับความต้องการที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ IEA ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 และไตรมาสแรกของปีนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวโน้มระยะสั้นจะชี้ไปทางภาวะอุปทานล้นตลาด แต่นักวิเคราะห์จาก ANZ มองว่า ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังอาจมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางราคาน้ำมันในอนาคต โดยเฉพาะท่าทีของกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมอุปทานในตลาดโลก