
RML แจงปม “กฤษณ์ ณรงค์เดช” ศาลสั่งจำคุก 44 เดือน ย้ำไร้กระทบธุรกิจ
RML แจงกรณีศาลสั่งจำคุก “กฤษณ์ ณรงค์เดช” 44 เดือน ไม่รอลงอาญา คดียักยอกทรัพย์ 35 ล้านบาท ไร้กระทบโครงสร้างการบริหารธุรกิจ เป็นเรื่องส่วนตัว บริษัทมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใส
บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML แจ้งผ่าน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าจากกรณีข่าวเกี่ยวกับ นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ประธานกรรมการของบริษัท ซึ่งได้รับความสนใจจากสาธารณชนในขณะนี้
บริษัทขอเรียนให้ทราบว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทและฝ่ายบริหารยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ยังคงดำเนินกลยุทธ์ทางธรกิจตามแผนที่ได้ประกาศไว้ โดยไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานและการบริหารจัดการของบริษัท
บริษัท ได้ประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบและยืนยันว่ากระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่อสถานะทางการเงิน การดำเนินธุรกิจ หรือการบริหารงานของบริษัทแต่อย่างใด
โดย ณ ขณะนี้ บริษัทขอยืนยันว่า บริษัทมีโครงสร้างการบริหารที่เป็นอิสระและสามารถดำเนินธรกิจได้ตามปกติ โดยไม่ได้พึงพาบุคคคลใดบุคคลหนึ่งเพียงลำพัง
บริษัทมีมาตรการด้านธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลกิจการที่เข้มแข็ง คณะกรรมการบริษัทมีแนวทางรองรับเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมไม่มีผลกระทบต่อแผนธุรกิจ กลยุทธ์การเติบโต และการดำเนินโครงการต่างๆ ของบริษัท
อีกทั้ง บริษัทพร้อมเดินหน้าตามแนวทางที่กำหนดไว้ เพื่อสร้างความมั่นคงและการเติบโตอย่างยังยืน รวมไปถึงบริษัทมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใส พร้อมเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินและการเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับประเด็นดังกล่าวสืบเนื่องมาจากข่างเมื่อวันที่ 19 มี.ค.68 ที่ผ่านมา ศาลแขวงพระนครใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.1662/2566 ซึ่งนายณพ ณรงค์เดช เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกฤษณ์ ณรงค์เดช บริษัท ซีบีเอ็นพี จำกัด และกรรมการบริษัท (จำเลยที่ 1-3) ในข้อหายักยอกทรัพย์
ทั้งนี้ ตามคำฟ้อง ระบุว่า คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช มารดาของโจทก์ ได้ให้เช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในตำบลศีรษะจรเข้ใหญ่ กิ่งอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ แก่บุคคลภายนอก รวมถึง บริษัท โทลล์ โลจิสติก จำกัด โดยได้รับค่าเช่า อย่างไรก็ตาม ภายหลังคุณหญิงพรทิพย์ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 จำเลยที่ 1, โจทก์ และนายกรณ์ ณรงค์เดช ได้เข้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าว
โจทก์ระบุว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยจัดทำบัญชีทรัพย์มรดกและไม่นำเงินค่าเช่าและค่าเช่าช่วงแบ่งให้โจทก์ตามสิทธิ ทั้งในฐานะทายาทและกรรมสิทธิ์ร่วม แม้โจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือแจ้งเตือนให้จำเลยที่ 1 จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกและแบ่งปันทรัพย์สิน แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย
อีกทั้ง โจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาเบียดบังเงินค่าเช่าและค่าเช่าช่วงไปเป็นของตนและบุคคลอื่นโดยมิชอบ และจำเลยที่ 2-3 ซึ่งทราบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว กลับร่วมสมคบไม่ส่งมอบเงินตามสิทธิของโจทก์ ซึ่งส่งผลให้โจทก์ไม่ได้รับเงินจำนวนรวมกว่า 35 ล้านบาท โจทก์จึงขอให้ศาลพิจารณานับโทษจำเลยต่อจากคดีที่ศาลเคยมีคำพิพากษาจำคุกไม่รอลงอาญาเป็นเวลา 12 เดือน
ภายหลังศาลมีคำพิพากษาสั่งจำคุกนายกฤษณ์ ณรงค์เดช 44 เดือน ไม่รอลงอาญา โดยจำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวในวงเงิน 400,000 บาท
ทางด้าน นายพิชา ป้อมค่าย ทนายความของนายกฤษณ์ ณรงค์เดช และคนในครอบครัว ได้มีการชี้แจงว่า คดีในวันนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวและเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยที่ดินที่มีข้อพิพาทนั้น เป็นที่ดินที่บริษัทเช่าช่วง ซึ่งมีเงินค่าเช่าช่วงเข้ามาสู่บัญชีของบริษัท และนายกฤษณ์ ณรงค์เดช ไม่ได้รับเงินส่วนนี้ไป บริษัทที่ให้เช่าช่วงเป็นผู้ที่เสียภาษีอย่างถูกต้อง สำหรับเงินจำนวนนี้ถือเป็นรายได้ของบริษัท ไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์หรือจำเลยแต่อย่างใด