
กตป. ชี้ “ประธาน กสทช.” ขาดคุณสมบัติตามมติ สว. จี้นายกฯ เร่งจัดการ
กตป. ด้านกระจายเสียง ชี้ “นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์” ขาดคุณสมบัติทำหน้าที่ประธาน กสทช.ตามที่วุฒิสภาดำเนินการตรวจสอบ พร้อมเรียกร้องนายกฯ เร่งจัดการตามอำนาจหน้าที่ หากเพิกเฉยอาจเสี่ยงผิด ม.157
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (20 มี.ค. 68) มีการจัดประชุมเพื่อรายงานผลการดำเนินงานและเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ ประจำปี 2567 โดยคณะกรรมการการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานและการบริหารงานของ กสทช. สำนักงาน กสทช และ เลขาธิการ กสทช. (กตป.)
โดยระหว่างการนำเสนอรายงานดังกล่าว รองศาสตราจารย์ คลีนิค พลเอก นายแพทย์ สายันห์ สวัสดิ์ศรีกตป. ด้านกิจการกระจายเสียง ชี้ให้เห็นปัญหาสำคัญทางนโยบาย และ ธรรมาภิบาลใน กสทช. คือ การที่ ศาสตราจารย์คลีนิค นายแพทย์ สรณ บุญใบชัยพฤกษฺ์ ประธาน กสทช. ขาดคุณสมบัติหรือมีคุณสมบัติต้องห้าม ซึ่งตามรายงานจากคณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของวุฒิสภาได้สรุปชัดเจนแล้ว ยังไม่นับรวมรายงานเกี่ยวกับการแทรกแซงการทำงานภายในสำนักงาน กสทช. จึงได้ฝากให้นาวาตรี ดร. วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมาอยู่ในที่ประชุมรับไปดำเนินการให้เกิดผลในวุฒิสภาด้วย
นอกจากนี้ รองศาสตราจารย์ คลีนิค พลเอก นายแพทย์ สายันห์ ยังมองว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ หรือ พรบ.กสทช. เป็นผู้ที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย หากประธาน กสทช.ขาดคุณสมบัติหรือมีคุณสมบัติต้องห้าม และยังมีประเด็นเรื่องของการปล่อยปละละเว้นให้สำนักงาน กสทช.ไม่มีเลขาธิการตัวจริงมานานกว่า 5 ปี อีกด้วย
ย้อนกลับไปจากบันทึกการประชุม คณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม ครั้งที่ 17/2567 โดยในเนื้อหาบันทึกสรุปได้ว่า ศ.คลินิก นพ. สรณ มีลักษณะต้องห้ามจริง ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 7 ข. (12) มาตรา 8 และมาตรา 26 ประกอบกับมาตรา 18 มาตรา 20
เมื่อคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และโทรคมนาคม วุฒิสภา วินิจฉัยเป็นที่สิ้นสุดในวันที่ 28 พ.ค. 67 จึงมีมติที่ประชุมเห็นชอบ และให้นำเรียนประธานวุฒิสภา พิจารณาตามหน้าที่ และอำนาจตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ในส่วนนี้ผลการขาดคุณสมบัติและกระบวนการจึงสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่วันที่ประธานวุฒิสภารับทราบ จึงมีการประกาศผลทางเว็บไซต์วุฒิสภา รวมไปถึงกระบวนการตรวจสอบด้วย โดยนายกรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่า นายกรัฐมนตรีได้เคยหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยมีหนังสือตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร 0909/117 ลงวันที่ 16 ก.ย. 67 โดยชี้ให้เห็นถึงการมีอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา และการพ้นจากตำแหน่งทันที หากปรากฏว่า มีกรณีตามข้อร้องเรียนดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ซึ่งสอดคล้องกับหนังสือประธานวุฒิสภาเห็นชอบ ให้กรรมาธิการการเทคโนโลยีฯ ให้รีบดำเนินการโดยเร่งด่วน เพื่อมิให้มีปัญหาข้อกฎหมายอื่นที่อาจเกิดขึ้น แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฎว่าประธาน กสทช. กลับยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายแต่อย่างใด
ดังนั้นทางสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ย่อมสามารถพิจารณาดำเนินการในเรื่องดังกล่าวตามหน้าที่ และอำนาจได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องรอการดำเนินการของวุฒิสภาหรือสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาแต่อย่างใด เท่ากับว่า ผลการวินิจฉัยของคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีฯ สมบูรณ์และมีผลทางกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค.2567 เป็นต้นมาส่งผลให้ประธาน กสทช. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยทันที
หาก นายกฯ ยังปล่อยเรื่องดังกล่าวค้างไว้ อาจเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายมาตรา 157 โดยตรง นายกรัฐมนตรีจึงควรเร่งดำเนินการ ส่งผลการตรวจสอบของวุฒิสภา ไปยังสำนักงานองคมนตรีเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยข้อเท็จจริงประเด็นดังกล่าวต่อไป แต่ปัจจุบัน นายกรัฐมนตรียังไม่ดำเนินการใด ๆ โดยปล่อยให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมากว่า 8 เดือน เรื่องนี้ ถ้ามีการร้อง ป.ป.ช. นายกรัฐมนตรีอาจหลุดจากตำแหน่งได้เลย