
KBANK มองกรอบ “เงินบาท” สัปดาห์หน้า 33.60-34.10 บ. จับตาสงครามการค้า-ราคาทอง
KBANK มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้า (24-28 มี.ค.68) ไว้ที่ระดับ 33.60-34.10 บาท/ดอลลาร์ จับตาประเด็นสงครามการค้าสหรัฐ และประเทศคู่ค้า รวมถึงทิศทางราคาทองคำ
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้า (24-28 มี.ค.68) ไว้ที่ระดับ 33.60-34.10 บาท/ดอลลาร์ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า, ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด, ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก, สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ และตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ก.พ.ของไทย
ขณะที่มีตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในมุมมองผู้บริโภคเดือน มี.ค., ยอดขายบ้านใหม่, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน, ยอดขายบ้านที่รอปิดการขาย และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือน ก.พ., ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 (final) รวมถึงตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือน มี.ค. ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษและสหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.พ.ของอังกฤษด้วยเช่นกัน
โดยเงินบาทกลับมาอ่อนค่าตามแรงขายทำกำไรทองคำหลังแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินเอเชียอื่น ๆ และการเคลื่อนไหวเหนือแนว 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ไม่ได้รับแรงหนุนมากนัก แม้บอนด์ยีลด์ของสหรัฐฯ จะขยับขึ้นในช่วงก่อนการประชุมเฟด
อย่างไรก็ดีเงินบาททยอยอ่อนค่ากลับมาบางส่วนตามจังหวะการย่อตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก หลังจากที่พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (ที่ระดับ 3,057.49 ดอลลาร์/ออนซ์ในระหว่างสัปดาห์) ประกอบกับมีแรงกดดันด้านอ่อนค่าเพิ่มเติมจากแรงขายสุทธิหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่เงินดอลลาร์ได้รับอานิสงส์จากสัญญาณไม่รีบปรับลดดอกเบี้ยของเฟด แม้จะมีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลงมาในการประชุม FOMC รอบที่ผ่านมาก็ตาม
ในวันศุกร์ที่ 21 มี.ค.68 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 33.87 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับระดับ 33.67 บาท/ดอลลาร์ในวันศุกร์ก่อนหน้า (14 มี.ค.68) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 17-21 มี.ค.68 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย 3,501.8 ล้านบาท และ 669 ล้านบาท ตามลำดับ