
ดักเก็บ SPRC-PTTEP-TOP รับข่าว “โอเปก” ลดกำลังผลิต ดันราคาน้ำมันพุ่ง
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) แนะเก็บหุ้น “น้ำมัน-โรงกลั่น” อย่าง SPRC, PTTEP, TOP หลังโอเปกออกมาตรการลดกำลังผลิต ฟากสหรัฐ เดินหน้าคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันอิหร่าน คาดหนุนราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จาก องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมันปิโตรเลียม (OPEC) ประกาศแผนลดกำลังการผลิตน้ำมันใหม่เพื่อชดเชยกำรผลิตส่วนเกินของประเทศสมาชิกเมื่อวันที่ 20 มี.ค.68 ที่ผ่านมา สำนักเลขาธิการโอเปก (OPEC Secretariat) ได้รับแผนชดเชยกำลังการผลิตน้ำมันอัพเดตจาก 7 ประเทศสมาชิก (กลุ่มประเทศสมาชิกที่ตกลงจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ยกเว้น แอลจีเรีย)
โดยแผนใหม่นี้จะแสดงการปรับลดกำลังการผลิตรายเดือนระหว่าง 189-435 พันบาร์เรลต่อวัน (kbd) โดยการปรับลดกำลังการผลิตนี้ตามกำหนดจะคงอยู่จนถึงเดือน มิ.ย.69 โดยประเทศที่ตกลงจะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันมากสุดตามแผนนี้ในช่วงเดือน มี.ค.68-มิ.ย.69 (เรียงจากมากไปน้อย) คือ อิรัก จำนวน 1,954 kbd, คาซัคสถาน จำนวน 908 kbd, รัสเซีย จำนวน 706 kbd, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จำนวน 365 kbd, คูเวต จำนวน141 kbd, โอมาน จำนวน 99 kbd และซาอุดิอาระเบีย จำนวน 30kbd
ทั้งนี้ สังเกตได้ว่า คาซัคสถาน ได้ผลิตที่ระดับสูงสุดใหม่ในช่วงที่ผ่านมา จากการขยายกำลังการผลิตของ Chevron โดยคาซัคสถานผลิตน้ำมันรวม 1.767 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) ในเดือน ก.พ. 68 สูงขึ้นจาก 1.570 mbd ในเดือน ม.ค.68 และโควตาการผลิตของ OPEC+ ที่ 1.468 mbd
ขณะที่ เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรใหม่ที่มุ่งเป้าไปยังอุตสาหกรรมน้ำมันของอิหร่าน โดยเฉพาะโรงกลั่นขนาดเล็กของจีน (teapot refineries) ซึ่งรวมถึง โรงกลั่น Shandong Shouguang Luqing Petrochemical Co., Ltd.
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยังขยายมาตรการคว่ำบาตรไปถึง เรือบรรทุกน้ำมัน 8 ลำ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “กองเรือเงา” (shadow fleet) ของอิหร่าน โดยเรือเหล่านี้ถูกใช้ในการขนส่งน้ำมันไปยังโรงกลั่นเอกชนของจีน
โดยมาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของสหรัฐฯ ในการกดดันอิหร่านไม่ให้มีรายได้จากการส่งออกน้ำมัน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาลอิหร่าน ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและความพยายามควบคุมการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติ
อย่างไรก็ตาม จากข่าวดังกล่าว บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึงประเด็นนี้ ว่า ฝ่ายนักวิเคราะห์ มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ โดยมองว่าการประกาศแผนลดกำลัง การผลิตน้ำมันเพื่อชดเชยการผลิตส่วนเกินของ OPEC และการ sanction อุตสาหกรรมน้ำมันของ อิหร่านเพิ่มเติม น่าจะส่งผลกระทบให้ตลาดน้ำมันโลกมีความตึงตัวมากขึ้นและอาจทำให้ภาวะอุปทานล้นตลาด (oversupply) ที่น่าจะเกิดขึ้นในปี 68 ผ่อนคลายลงมาได้
ทั้งนี้ ในวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมาราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า น้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ปรับตัวสูงขึ้น 1.7% เป็น 72.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลโดยฝ่ายนักวิเคราะห์ยัง สมมติฐานราคาน้ำามันดูไบเฉลี่ยปีนี้ที่ อยู่ที่ 73.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ขณะที่ กลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงานและคาดการณ์ส่งผลบวกต่อ หุ้นโรงกลั่น และ หุ้นน้ำมันต้นน้ำ
ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์ชอบหุ้น บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท, บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 160.00 บาท และ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท โดยคาดว่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันที่น่าจะปรับตัวสูงขึ้น