ลุ้น PTT วิ่งต่อ! รับ “ซื้อหุ้นคืน” วันแรก โบรกฯ ชูราคาฐานใหม่ 34 บาท

โบรกฯ ประเมินราคาฐานใหม่ PTT หลังซื้อหุ้นคืนไม่ต่ำกว่า 34 บาท ส่วน ROE เพิ่มเป็น 8.54% จากเดิม 7.93% แนวโน้มปันผลสูงต่อเนื่อง ผู้บริหารมั่นใจปี 68 ไม่ต่ำกว่า 2.10 บาท ยีลด์สูง 7%


นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) วงเงินสูงสุดที่อนุมัติสำหรับโครงการนี้ไม่เกิน 16,000 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 470 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 1.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบการซื้อขายของ ตลท. (Automatic Order Matching: AOM) กำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 23 กันยายน 2568

โดยราคาหุ้นที่จะซื้อคืนจะไม่เกินกว่าราคาปิดเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทำการซื้อขายแต่ละครั้งบวกด้วยจำนวน 15% ของราคาปิดเฉลี่ยดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อประกอบการพิจารณาราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 19 มีนาคม 2568 เท่ากับ 30.33 บาทต่อหุ้น (ราคาปิดเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน)

บริษัทมีประมาณการเงินสดคงเหลือประมาณ 124,194 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีประมาณการหนี้สินที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่จะเริ่มซื้อหุ้นคืนประมาณ 84,325 ล้านบาท ยังไม่รวมกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานและกระแสเงินสดรับจากการลงทุนที่บริษัทจะได้รับอีก 6 เดือนข้างหน้าประมาณ 63,944 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทจึงมีสภาพคล่องเพียงพอในการชำระหนี้ที่จะถึงกำหนดภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่จะซื้อหุ้นคืน และมีกระแสเงินสดส่วนเกินเพียงพอที่จะนำมาซื้อหุ้นคืนตามโครงการนี้

ส่วนเหตุผลการซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) รวมทั้งเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและผู้ถือหุ้นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาเริ่มเห็นบริษัทจดทะเบียนใช้กลไกการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) จำนวนมากช่วงนี้ ไม่เพียงแต่มีผลต่อราคาหุ้นเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงศักยภาพของธุรกิจมีมูลค่าต่ำกว่าพื้นฐานที่เจ้าของหรือผู้บริหารมองอีกด้าน ยังเป็นการคืนทุนให้ผู้ถือหุ้นตัวเองคล้ายกับการจ่ายเงินปันผล

ดังนั้นหากแผนลงทุนของบริษัทนั้นเพียงพอ และยังมีเงินทุนเหลืออยู่ นำมาซื้อหุ้นคืนเพื่อให้โอกาสผู้ถือหุ้นนำเงินส่วนเกินตรงนี้ไปใช้ลงทุนแสวงหาผลประโยชน์เอง

ทั้งนี้การซื้อหุ้นคืนใช้กันในตลาดหุ้นทั่วโลกและเป็นมุมบวกในหลายด้าน ไม่ใช่เพียงพยุงราคาหุ้นตัวเองเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) เพราะจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นแต่ผลตอบแทนเท่าเดิมดีต่อราคาหุ้น

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า โครงการซื้อหุ้นคืนถือเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากธนาคารหรือบริษัทจดทะเบียนสามารถดำเนินการเองได้ช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวลง และมีความผันผวน ส่วนจะทำให้ความเชื่อมั่นกลับมาได้แค่ไหนนั้น ต้องติดตามต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโครงการซื้อหุ้นคืนหรือการทำ Treasury Stock เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินเพื่อบริหารสภาพคล่องกรณีที่ราคาหุ้นของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น และบริษัทมีกำไรสะสมและสภาพคล่องสูงกว่าความต้องการใช้ดำเนินธุรกิจช่วงระยะเวลาดำเนินโครงการ โดยจำนวนหุ้นที่ลดลงจะส่งผลให้กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปรับตัวสูงขึ้น และเมื่อนำไปคำนวณรวมกับอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) จะทำให้ราคาหุ้นบนกระดานมีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกัน

ปัจจุบันราคาหุ้นของหลายบริษัทที่มีสภาพคล่องทางการเงินสูงปรับตัวลดลงเกินกว่ามูลค่าทางบัญชี หรือเรียกว่า “หุ้นต่ำบุ๊ก” รวมถึงซื้อขายบน P/E Ratio ที่ระดับต่ำมาก เนื่องจากบริษัทนั้น ๆ มีการนำสภาพคล่องส่วนเกินไปขยายการลงทุน แต่ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้คุ้มค่าเงินลงทุน หรืออีกกรณีคือบริษัทนั้น ๆ กังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากหลายปัจจัย จึงมีการชะลอหรือหยุดการลงทุน ส่งผลให้เกิดข้อจำกัดต่ออัตราการเติบโตของผลประกอบการ หรือกระทั่งมีผลประกอบการถดถอย

ดังนั้นการทำ Treasury Stock จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับบริษัทที่มีสภาพคล่องส่วนเกิน แต่ไม่สามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มจากการลงทุนได้ โดย EPS ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้เกิดการประเมินมูลค่ากิจการที่สูงขึ้น หรือหมายถึงราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น จะทำให้เกิดอุปสงค์ต่อตัวหุ้น เพื่อสร้างเสถียรภาพและเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาหุ้นได้มากขึ้น

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ราคาฐานใหม่หุ้น PTT จะอยู่ที่บริเวณ 34 บาท คำนวณจากวงเงินซื้อหุ้นคืน 16,000 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 470 ล้านหุ้น ที่ผู้บริหารตั้งเป้าไว้ช่วงซื้อหุ้นคืน

ราคาหุ้น ปตท.ที่ 34 บาท จะกลายเป็นราคาขั้นต่ำของ PTT ในอนาคต ตามแผนซื้อหุ้นคืน ขณะที่ราคาเป้าหมายของเราให้ไว้ 35.8 บาท มีอัพไซด์จากราคาปัจจุบันประมาณ 12.76%”

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงาน ปตท.ปีนี้ ยังคงทรงตัวจากปีก่อนและปี 2569 จะปรับตัวสูงขึ้น โดยผู้บริหาร PTT มั่นใจว่าอัตราจ่ายเงินปันผลปี 2568 จะไม่ต่ำกว่าปี 2567 ที่ 2.10 บาทต่อหุ้น ถือเป็นอัตราปันผลที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ขณะที่โบรกเกอร์ต่างประเทศปรับมุมมองตลาดหุ้นประเทศไทยดีขึ้น หุ้น PTT จึงเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างประเทศ จากราคายังต่ำกว่าพื้นฐาน ขณะที่ยังจ่ายเงินปันผลสูง

ส่วนหุ้นกลุ่มปตท. ที่มีความพร้อมในการซื้อหุ้นคืน ได้แก่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เพียงบริษัทเดียว เนื่องจากมีกระแสเงินสดเหลืออยู่มาก ขณะที่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ยังมีภาระที่ต้องก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด หรือ CFP

ด้านบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC แม้จะมีกระแสเงินสดมาก แต่ยังต้องลงทุนอีกมากเช่นกัน, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC มีโครงการลงทุนในระยะเวลา 5 ปีค่อนข้างมาก ขณะที่บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ประสบปัญหาการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงไม่มีความพร้อมในการซื้อหุ้นคืนขณะนี้

นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด มองว่า แผนการซื้อหุ้นคืนของ PTT จะช่วยพยุงดัชนีของตลาดหุ้นไทยได้ระยะ 6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากหุ้น PTT เป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปเป็นอันดับต้น ๆ ของตลาด 8.85 แสนล้านบาท ซึ่งมองว่าจะเป็นผลดีต่อภาพรวม SET ในระยะยาว

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มอง Slightly positive ต่อโครงการซื้อหุ้นคืนของ PTT  โดยวงเงินโครงการสะท้อนว่าต้นทุนเข้าซื้อเฉลี่ยในช่วง 6 เดือนข้างหน้าอาจอยู่ที่ 34.04 บาทต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดล่าสุดที่ 30.75 บาทต่อหุ้น ทำให้อาจมีแรงพยุงราคาหุ้นระยะสั้นและใช้สภาพคล่องส่วนเกินในการเพิ่มผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น คาดเพิ่ม EPS ปี 2568-2570 ได้ประมาณ 1.0-1.7% และ ROE ได้  0.06-0.11%  จาก 7.93% เป็น 8.45-8.54% หากซื้อคืน 470 ล้านหุ้น ครบตามจำนวนหุ้นที่กำหนด

โดยแนวโน้มกำไรปี 2568-2570 ของ PTT เฉลี่ยทรงตัว จากการฟื้นตัวของธุรกิจก๊าซฯ และปิโตรเคมี เพียงชดเชยธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ  E&P ที่อัตรากำไรลดลงตามราคาน้ำมันที่ซัพพลายตึงตัวน้อยลง ทำให้ขาดแรงกระตุ้น ไม่เด่นเท่าบริษัทลูกอย่างโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง กรณี PTT ประกาศซื้อหุ้นคืน นับเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการพยุงราคาหุ้น ผ่านการส่งสัญญาณของ PTT ว่าราคาหุ้นในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และยังเชื่อมั่นศักยภาพการเติบโตของบริษัท

โดยเพิ่มคำแนะนำเป็น Outperform จากเดิม Neutral ทางด้านปัจจัยพื้นฐาน PTT ยังแข็งแกร่ง โดยมีทิศทางกำไรปี 2568 ดีขึ้น เป็นจุดแข็ง PTT โดยมีธุรกิจที่กำไรดีขึ้นมาช่วยชดเชยธุรกิจที่กำไรอ่อนตัวลงได้ และมีความโดดเด่นเรื่องเงินปันผล Dividend Yield เฉลี่ยต่อปีเกือบ 7%

บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด มองว่าเป็นแนวโน้มเชิงบวกต่อ PTT ด้วยสองเหตุผล คือ 1) โครงการซื้อหุ้นคืนอาจช่วยป้องกันการลดลงของราคาหุ้น โดยเฉพาะเมื่อหุ้นบางตัวในตลาดไทยมักลดลงหลังจากขึ้นเครื่องหมาย XD 2) สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารกำลังดำเนินการเพื่อปรับปรุงการบริหารเงินทุน ถือเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย นอกจากนี้อาจเป็นสัญญาณถึงการให้ความสำคัญกับเงินปันผลมากขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้บริหารชี้ว่า DPS สูงขึ้นจากเงินปันผลงวดสุดท้ายปี 2567 มีแนวโน้มจะคงอยู่ต่อไปในอนาคต โดยให้มูลค่าที่เหมาะสม  34 บาท

ด้านรายงานข่าวจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า ตามมติจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ได้รับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานเกี่ยวกับกระบวนการระงับข้อพิพาท โดยอนุญาโตตุลาการ กรณีบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และมิตซุย ออยล์ เอ็กซโปลเรชั่น คัมปะนี ลิมิเต็ด ซึ่งปรากฏว่ากระบวนการเจรจาเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านกฎหมายการรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณและบริษัท โททาล เอนเนอร์ยี่ส์ อีพี ไทยแลนด์ ได้ข้อยุติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้กรณีข้อพิพาทด้านกฎหมายการรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมทั้งของแหล่งเอราวัณและแหล่งบงกช ได้ข้อยุติทั้ง 2 กรณี หลังจากมีการหารือและดำเนินกระบวนการทางกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง

โดยรายละเอียดของการรื้อถอนสิ่งติดตั้งฯ ของแหล่งเอราวัณคือ ตามสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2515/5 และเลขที่ 2/2515/6 แหล่งเอราวัณ เมื่อสิ้นสุดอายุสัมปทานในปี 2565 ผู้รับสัมปทานต้องส่งมอบสิ่งติดตั้งให้แก่รัฐเพื่อใช้ประโยชน์ต่อในกิจการปิโตรเลียม จำนวน 159 รายการ และต้องดำเนินการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ จำนวน 52 รายการ และตามสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 5/2515/9 และเลขที่ 3/2515/7 แหล่งบงกช เมื่อสิ้นสุดสัมปทานในปี 2565 และปี 2566 ผู้รับสัมปทานต้องส่งมอบสิ่งติดตั้งให้แก่รัฐ 66 รายการ และต้องดำเนินการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ จำนวน 4 รายการ

ทั้งนี้กรณีเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านกฎหมายการรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมของแหล่งเอราวัณและบงกชเกิดขึ้นเมื่อช่วงปี 2562-2563 จากการที่บริษัทผู้รับสัมปทาน ได้แก่ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และมิตซุย ออยล์ เอ็กซโปลเรชั่น คัมปะนี ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณ และบริษัท โททาล เอนเนอร์ยี่ส์ อีพี ไทยแลนด์ ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งบงกช ได้ยื่นข้อเรียกร้องและนำคดีเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ในประเด็นที่เห็นต่างกรณีกระทรวงพลังงานออกกฎหมายเกี่ยวกับการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม ซึ่งกำหนดหน้าที่ให้ผู้รับสัมปทานต้องวางหลักประกันการรื้อถอนและร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนบางส่วนของสิ่งติดตั้งภายหลังสัมปทานปิโตรเลียมสิ้นสุดลงในปี 2565-2566

ดังนั้นผลของการยุติข้อพิพาทครั้งนี้ ส่งผลให้ข้อเรียกร้องทั้งสองคดีถูกเพิกถอนโดยถาวร โดยรัฐไม่เสียประโยชน์ และเป็นการเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับภาคเอกชนสำหรับการลงทุนในประเทศไทย พร้อมทั้งเดินหน้าประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศอย่างต่อเนื่อง  นับว่าเป็นการบรรลุข้อตกลงซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย รวมทั้งการดำเนินงานรื้อถอนของผู้รับสัมปทานจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตปิโตรเลียมของผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตปัจจุบันด้วย

Back to top button