
“บล.พาย” ชี้ทรัมป์อ่อนข้อภาษี หนุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะเก็บ 8 หุ้นพื้นฐานแกร่ง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวหลัง Trump ส่งสัญญาณภาษีนำเข้าอาจไม่รุนแรง ระยะสั้นเป็นบวกกับสินทรัพย์เสี่ยง ด้าน บล.พาย ประเมินกรอบ SET สัปดาห์นี้ 1,170-1,220 จุด พร้อมแนะนำลงทุนในหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง CPN-AMATA- WHA-CENTEL-MINT-BDMS- BJC- TU
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ ( 24 มี.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดบวกเพียง 32 จุด บวกไป 0.08% แต่ก็นับเป็นการฟื้นตัวจากติดลบในช่วงเช้าหลังจากที่ Trump ประกาศว่าภาษีศุลกากรที่จะเริ่มในเดือน เม.ย. อาจไม่รุนแรงอย่างที่กังวลกัน ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.2% และปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สองแรงหนุนจากมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน
โดยคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาฝั่งสหรัฐฯมิได้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยมีเพียง Trump ได้สื่อสารกับนักข่าวพร้อมสื่อสารว่าหลายท่านมาหาผมและขอร้องให้สหรัฐฯยกเว้นภาษีนำเข้าหากยกเว้นให้หนึ่งคนก็อาจจะต้องอนุญาตให้ทุกคนเช่นกัน ดังนั้นสหรัฐฯจึงยังไม่เปลี่ยนใจแต่ก็อาจยืดหยุ่นได้และพร้อมปรับเปลี่ยนได้ตามการเจรจาจากปัจจัยข้างต้นทำให้นักลงทุนผ่อนคลายลงเล็กน้อย สะท้อนผ่านเงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยไม่ว่าจะเป็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯเร่งขึ้น ราคาทองคำปรับลงและตลาดหุ้นปรับขึ้นซึ่งอาจจะหนุนตลาดหุ้นไทยระยะสั้น
สำหรับสัปดาห์นี้นักลงทุนจะให้น้ำหนักกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯประกอบไปด้วย (1) ดัชนี PMI เบื้องต้นทั้งภาคบริการและผลิตของสหรัฐฯและยุโรปในวันจันทร์ (2) ยอดขายบ้านหลังแรกและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯในคืนวันอังคาร Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 6.82 แสนหลังคาและ 94.2 (3) ตัวเลขสำคัญอย่างเงินเฟ้อสหรัฐฯ (PCE) ในคืนวันศุกร์ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) ที่ 2.7% จากงวดเดียวของปีก่อน หากต่ำกว่าคาดการณ์จะเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นและตลาดทองคำ จากการคลายกังวลดอกเบี้ย FED สำหรับปัจจัยในประเทศวันศุกร์ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้รายงานการค้าระหว่างประเทศประจำเดือน ก.พ. พบว่าขยายตัว 14% จากงวดเดียวของปีก่อน สูงกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 8% จากงวดเดียวของปีก่อน
กระทรวงพาณิชย์ระบุว่าปัจจัยสนับสนุนมาจากภาคผลิตของหลายประเทศที่อยู่ในภาวะขยายตัว โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง จากการเตรียมความพร้อมปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯรวมไปถึงเงินเฟ้อที่ลดลงและดอกเบี้ยเป็นอีกปัจจัยหนุน สินค้าเกษตรที่ขยายตัวได้แก่อาหารสัตว์เลี้ยง (เพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวของปีก่อน) ยางพารา (เพิ่มขึ้น 36% จากงวดเดียวของปีก่อน) สินค้าอุตสาหกรรมได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ (เพิ่มขึ้น 51% จากงวดเดียวของปีก่อน) รถยนต์ (เพิ่มขึ้น 4.5% จากงวดเดียวของปีก่อน)
อย่างไรก็ตาม สัปดาห์นี้ปัจจัยภายในประเทศรอติดตามแถลงภาวะเศรษฐกิจจากธนาคารแห่งประเทศไทยและดุลการค้าหากเกินดุลจะเป็นปัจจัยหนุนต่อค่าเงินบาท ประเมินกรอบ SET INDEX สัปดาห์นี้ที่ 1,170 – 1,220 จุด มีแรงหนุนเล็กน้อยจากการประกาศของ Trump แต่เชื่อว่า Upside ยังจำกัดเพราะปัจจัยพื้นฐานมิได้แข็งแกร่งทั้งเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำจึงเน้นที่การเลือกหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง เป็นผู้นำอุตสาหกรรมและมีอำนาจต่อรองกับลูกค้า อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA , WHA) ท่องเที่ยว (CENTEL, MINT) โรงพยาบาล (BDMS)
บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท โดยจากการรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 ที่ 1.6 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.4% จากงวดเดียวของปีก่อน) และมีกำไรปกติที่ 1.5 พันล้านบาท (ลดลง 11% จากงวดเดียวของปีก่อน, แต่เพิ่มขึ้น 60% จากไตรมาสก่อน) ใกล้เคียงกับที่เราและ BB consensus คาด กำไรลดลงจากงวดเดียวของปีก่อน รับแรงกดดันจากภาษีจ่ายที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามกำไรก่อนภาษียังเติบโตแข็งแกร่ง 21% จากงวดเดียวของปีก่อน รับปัจจัยบวกจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัวจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากมาตรการภาครัฐ สะท้อนผ่านการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ช่วงเดือน ม.ค.2568 ที่เพิ่มขึ้น 1% ถึงเพิ่มขึ้น 3% และคาดว่าจะมีแนวโน้มดีต่อเนื่องในเดือน ก.พ. 2025 รับแรงหนุนจากมาตรการลดหย่อนภาษี
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 17.60 บาท โดยคาดการณ์ว่าผลประกอบการปี 2568 ของ TU ยังเห็นการเติบโตได้ แต่ไม่มากนักเพราะได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 300-350 ล้านบาท เบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิใหม่ที่ 5,012 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากงวดเดียวของปีก่อน โดยทางผู้บริหารจะหันมาเน้นการเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นด้วยการตั้งเป้าเติบโต 3-4% ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาหารแช่แข็งที่สิ้นสุดมาตรการ Right Sizing แล้ว หรือธุรกิจอาหารแปรรูปที่จะเน้นสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองมากขึ้นโดยเฉพาะที่ยุโรป