
“สุทธิชัย” ชี้ SET ฟื้นตัว แนะลงทุนหุ้น 3 ธีม “ThaiESG-ปันผล-ราคาลงลึก”
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย มอง SET ฟื้นตัวรับมาตการรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจเห็นผลชัดไตรมาส 2/68 พร้อมคงคำแนะนำลงทุนหุ้น 3 ธีมหลัก เน้น 16 หุ้น กลุ่มกองทุน Thai ESG Extra จ่ายปันผลสูงและราคาปรับตัวลงลึก
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ INVX เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (24 มี.ค.68) ว่าภาพรวมของ SET Index อาจปรับตัวดีขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามประเด็นที่ส่งผลต่อดัชนี ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์มองอยู่ 2 ประเด็น คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ระหว่างวันที่ 24 – 25 มี.ค. 68 และ ภาวะสงครามการค้า ภายหลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กำหนดวันที่มีผลบังคับใช้เพื่อเรียกเก็บภาษีทางการค้า ภายวันที่ 2 เม.ย.นี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแม้จะมีการพูดถึงการยืดหยุ่นต่อนโยบายการค้า ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดคลายกังวลลงบ้าง แต่ก็ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
ขณะที่ หากถามถึงประเด็นดัชนี SET Index ได้รับรู้ปัจจัยสงครามการค้าไปแล้วหรือยัง ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าตลาดหุ้นไทยได้สะท้อนปัจจัยเหล่านี้ไปในระดับหนึ่งแล้ว และหากพิจารณาผลตอบแทนของตลาดตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (Year to Date) จะพบว่าตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่มีผลตอบแทนแย่ที่สุดในโลก
ดังนั้น หากถามว่าดัชนี SET Index ได้รับรู้ประเด็นสงครามการค้าไปแล้วหรือไม่ นักวิเคราะห์ประเมินว่ารับรู้ปัจจัยดังกล่าวไปมากกว่าหลายตลาดทั่วโลก ขณะที่ หลังจากนี้ไปก็คงต้องเฝ้าติดตามการเจรจาผู้นำสหรัฐและประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่จะเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์มองว่า SET ยังมีโอกาสฟื้นตัวได้บ้างในระยะถัดไป โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นผลอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ยังคงระมัดระวังต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและทิศทางของตลาดหุ้น โดยไม่ได้คาดว่าการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างสดใสมากนัก อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 ดัชนีปรับตัวลงแรงพอสมควร ทำให้มีโอกาสที่ตลาดจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้ในระยะต่อไป
ส่วนประเด็นมาตรการลดดอกเบี้ย และมาตรการ LTV และการออกกองทุน Thai ESG Extra อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดหุ้น ขณะเดียวกัน การที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ประกาศซื้อหุ้นคืนวงเงิน 16,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริหารมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัท และอาจบ่งชี้ว่าราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท นอกจากนี้ การซื้อหุ้นคืนของ PTT ยังสอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลที่พยายามผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนดำเนินมาตรการนี้มากขึ้น ด้วยปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ที่กล่าวมา นักวิเคราะห์มองว่า SET Index มีโอกาสทรงตัวเหนือระดับ 1,200 จุดได้ ในระยะต่อไป
ส่วนกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงแนะนำกลยุทธ์การลงทุนตาม 3 ธีมหลัก ซึ่งเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดโดยรวม และเป็นกลุ่มหุ้นที่สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ โดย ธีมแรก คือ หุ้นกลุ่มเป้าหมายการลงทุน Thai ESDX ซึ่งคัดเลือกจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีสถานะทางการเงินมั่นคง ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ และต้องมีคะแนน ESG อยู่ในระดับ A ขึ้นไป ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าหุ้นที่เข้าเกณฑ์ตามกลยุทธ์ Thai ESDX มีประมาณ 8 ตัว แบ่งเป็นหุ้นใน SET50 ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT
ขณะที่หุ้นใน SET100 ได้แก่ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP, บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH และ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG
สำหรับธีมที่ 2 นักวิเคราะห์แนะนำ หุ้นปันผล ที่มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับ 4% ขึ้นไป หุ้นที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร อาทิ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP และ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI
สุดท้ายธีมที่ 3 นักวิเคราะห์แนะนำ ลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน (Undervalued Stocks) โดยเน้นหุ้นที่ยังมี Valuation ต่ำ และผลประกอบการยังไม่สะท้อนอยู่ในราคาหุ้น ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้มีประมาณ 5 ตัว ได้แก่ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF