“วิโรจน์” เปิดข้อมูลแฉนายกฯ ใช้ “ตั๋ว PN” ซื้อหุ้นครอบครัว หวังเลี่ยงภาษี 218.7 ล้านบาท

“วิโรจน์” อ้างพบพฤติกรรมใช้ “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” ซื้อหุ้นในครอบครัว หวั่นเป็นช่องโหว่หลีกเลี่ยงภาษีการรับให้ กว่า 218.7 ล้านบาท จี้รัฐบาลตอบชัดก่อนหมดเขต 31 มี.ค. ด้านเพื่อไทยประท้วงต่อเนื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี วันนี้ (24 มี.ค.68) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน ได้กล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้ มาตั้งแต่ปี 2559 โดยอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย

นายวิโรจน์ กล่าวว่า เรื่องนี้สามารถแกะรอยได้จากบัญชีทรัพย์สินที่นายกรัฐมนตรียื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พบว่า นางสาวแพทองธาร เป็นลูกหนี้อยู่ 9 รายการ มูลค่าหนี้สินรวม 4,434.5 ล้านบาท มีเอกสารแนบมาเพียงแค่ 9 แผ่น รายการละ 1 แผ่น โดยเป็นหนี้ที่ไม่ได้อยู่ในรูปของสัญญาเงินกู้ แต่เป็น “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” (PN) ซึ่งเป็นเอกสารที่ออกแทนการจ่ายเงินสดในการซื้อหุ้นจากสมาชิกในครอบครัว

“ดังนั้นหนี้สินดังกล่าวจึงไม่ใช่หนี้ที่อยู่ในรูปแบบของสัญญาเงินกู้แน่ ๆ แต่เป็น “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” หรือ ตั๋ว PN ซึ่งเป็นหนี้สินที่นางสาวแพทองธาร ซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ แบบ “ซื้อเชื่อ” แล้วออกตั๋ว PN แทนการจ่ายเงิน” นายวิโรจน์ กล่าว พร้อมกล่าวว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวไม่มีเงื่อนไขระบุวันครบกำหนดชำระ ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นกลไกเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกฎหมายภาษีการรับให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.59

นอกจากนี้ นายวิโรจน์ ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับการโอนหุ้น 19 บริษัท มูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท โดยเฉพาะการโอนหุ้น 2 บริษัท มูลค่ารวม 393.5 ล้านบาท ให้แก่สมาชิกในครอบครัว ได้แก่ 1. บริษัทอัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด มูลค่า 224.1 ล้านบาท โอนให้มารดาเมื่อวันที่ 4 ก.ย.67 และ 2. บริษัทประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด มูลค่า 169.4 ล้านบาท โอนให้พี่สาวเมื่อวันที่ 5 ก.ย.67

โดยการโอนหุ้นดังกล่าว หากเป็นการให้โดยเสน่หา ผู้รับโอนต้องเสียภาษีรับให้ตามกฎหมาย ซึ่งในกรณีนี้แม่ของนายกรัฐมนตรีต้องเสียภาษี 10.2 ล้านบาท ขณะที่พี่สาวต้องเสียภาษี 8 ล้านบาท รวมเป็น 18.2 ล้านบาท คำถามคือ รัฐจะได้รับภาษีส่วนนี้หรือไม่ ภายในวันที่ 31 มี.ค.68 ทุกคนจะได้รู้คำตอบ

ทั้งนี้กฎหมายภาษีการรับให้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.59 โดยกำหนดให้การให้ทรัพย์สินจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส จะได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับมูลค่าที่ไม่เกิน 20 ล้านบาท หากเกินจากนี้ ต้องเสียภาษี 5% การให้ทรัพย์สินแก่บุคคลอื่นนอกเหนือจากข้างต้น จะได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับมูลค่าที่ไม่เกิน 10 ล้านบาท หากเกินจากนี้ต้องเสียภาษี 5% เช่นเดียวกัน

นายวิโรจน์ อธิบายอีกว่า จุดแตกต่างระหว่าง การได้หุ้นจากการให้ กับ การซื้อหุ้น ก็คือ ถ้านางสาวแพทองธาร ได้หุ้นมาจากการให้ของ พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ นางสาวแพทองธาร ก็ต้องเสียภาษีการรับให้ให้กับรัฐ แต่ถ้านางสาวแพทองธาร ซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว และเนื่องจากหลักเกณฑ์การรับรู้รายได้ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะใช้เกณฑ์เงินสด ซึ่งรายได้จะถูกนับเป็นเงินได้พึงประเมิน ก็ต่อเมื่อมีการรับเงินสดจริง

ดังนั้นการที่นางสาวแพทองธาร จ่ายค่าหุ้นที่ซื้อด้วยตั๋ว PN ที่ไม่ได้มีการจ่ายเงินกันจริงจะจ่ายกันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำให้พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเลยแม้แต่บาทเดียว และต่อให้มีการจ่ายค่าซื้อหุ้นกันในภายหลัง พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ก็ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาอยู่ดี เพราะตามมาตรา 40(4)(ช) ของประมวลรัษฎากรกำหนดว่า รายได้จากการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะส่วนเกินจากมูลค่าหุ้น (Capital Gain) หรือกำไรจากการขายหุ้นเท่านั้น จึงจะถูกนับเป็นเงินได้พึงประเมิน

ดังนั้นหากกงสี ขายหุ้นให้นางสาวแพทองธารในราคาพาร์ หรือราคาทุน พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเลย สลึงเดียวก็ไม่กระเด็นออกจากกงสี และเมื่อคำนวณรวมแล้ว นางสาวแพทองธาร ใช้ตั๋ว PN สร้างหนี้ปลอม เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้เป็นเงินสูงถึง 218.7 ล้านบาท

นายวิโรจน์ สรุปว่า การหลีกเลี่ยงภาษี 218.7 ล้านบาทของนายกรัฐมนตรี ขัดต่อหน้าที่พลเมืองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 50(9) และละเมิดมาตรฐานจริยธรรมของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 160(4) และ (5) เป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชนและประเทศชาติ และเรียกร้องให้พิจารณาว่านางสาวแพทองธาร สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ระหว่างการอภิปราย สส. จากพรรคเพื่อไทยได้ลุกขึ้นประท้วงหลายครั้ง โดยให้เหตุผลว่า นายวิโรจน์ใช้ข้อมูลที่ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน ขณะที่ฝ่ายค้านยังคงยืนยันว่า ประเด็นดังกล่าวจำเป็นต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม

Back to top button