
เปิด 29 บจ. ควักเงินเฉียด 3 หมื่นล้าน ทยอยซื้อหุ้นคืนปี 68
ส่อง 29 บริษัทจดทะเบียนเดินหน้า “ซื้อหุ้นคืน” เพื่อบริหารทางการเงินในปี 68 วงเงินรวมเกือบ 3 หมื่นล้านบาท PTT ควักเงินสูงสุด 1.6 หมื่นล้านบาท ซื้อคืน 470 ล้านหุ้น ส่วน TTB อัดงบกว่า 7 พันล้าน ซื้อคืน 3.5 พันล้านหุ้น
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ได้มีการประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ซึ่งนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน (24 มี.ค.68) พบว่ามี 29 บริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินการโครงการดังกล่าว แบ่งออกเป็นกลุ่ม SET จำนวน 25 หลักทรัพย์ มูลค่ารวม 29,590 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่ม mai จำนวน 4 หลักทรัพย์ มูลค่ารวม 255 ล้านบาท ตามรายละเอียดในตารางด้านล่างนี้
ทั้งนี้ จากรายละเอียดในตารางดังกล่าว พบว่ามี 8 บริษัทหลักทรัพย์ที่มีวงเงินการซื้อหุ้นคืนสูงสุดเกิน 500 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT จำนวน 470 ล้านหุ้น วงเงิน 16,000 ล้านบาท ช่วงเวลาซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 24 มี.ค.-23 ก.ย.68, 2.ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB จำนวน 3,500 ล้านหุ้น วงเงิน 7,000 ล้านบาท ช่วงเวลาซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 3 ก.พ.-1 ส.ค.68, 3.บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON จำนวน 150 ล้านหุ้น วงเงิน 900 ล้านบาท ช่วงเวลาซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 18 มี.ค.-17 ก.ย.68
4.บริษัท ศิครินทร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SKR จำนวน 87 ล้านหุ้น วงเงิน 700 ล้านบาท ช่วงเวลาที่ซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 31 มี.ค.-25 ก.ย.68, 5.บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL จำนวน 155 ล้านหุ้น วงเงิน 675 ล้านบาท ช่วงเวลาที่ซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 3 มี.ค.-29 ส.ค.68, 6.บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM จำนวน 75 ล้านหุ้น วงเงิน 600 ล้านบาท ช่วงเวลาซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 3 มี.ค.-3 ก.ย.68, 7.บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE จำนวน 400 ล้านหุ้น วงเงิน 500 ล้านบาท ช่วงเวลาซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 10 มี.ค.-5 ก.ย.68, บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASP จำนวน 210 ล้านหุ้น วงเงิน 500 ล้านบาท ช่วงเวลาซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 1 เม.ย.-30 ก.ย.68
สำหรับการ “ซื้อหุ้นคืน” เป็นกลยุทธ์ทางการเงินที่บริษัทเลือกใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น โดยการนำเงินสดของบริษัทไปซื้อหุ้นของตนเองกลับคืนจากตลาด ซึ่งสามารถสร้างประโยชน์ในหลายมิติ
โดยหนึ่งในข้อดีหลักของการซื้อหุ้นคืนคือ การเพิ่มมูลค่าต่อหุ้น (Earnings Per Share – EPS) เมื่อจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดลดลง แต่กำไรของบริษัทไม่ได้ลดลงไปด้วย ผลลัพธ์คือ EPS (กำไรต่อหุ้น) จะสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้หุ้นดูมีเสถียรภาพและน่าลงทุนมากขึ้น นอกจากนี้การซื้อหุ้นคืนยังเป็น สัญญาณบวกที่บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของบริษัท ในศักยภาพของตัวเอง แสดงให้เห็นว่าฝ่ายบริหารมองว่าราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งอาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
อีกประโยชน์สำคัญคือ การลดอุปทานของหุ้นในตลาด ซึ่งอาจช่วยพยุงราคาหุ้นให้สูงขึ้น เนื่องจากเมื่อมีหุ้นหมุนเวียนน้อยลง ความต้องการหุ้นที่เหลืออยู่จะสูงขึ้นตามไปด้วย สิ่งนี้เป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้นที่ยังคงถือหุ้นไว้ นอกจากนี้ การซื้อหุ้นคืนยังช่วย บริหารโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากบริษัทมีเงินสดส่วนเกิน การนำเงินไปซื้อหุ้นคืนอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการถือเงินสดไว้โดยไม่ได้สร้างผลตอบแทน
นอกจากนี้ การซื้อหุ้นคืนยังมีบทบาทสำคัญใน การลดการกระจายตัวของอำนาจการถือหุ้น ทำให้ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือฝ่ายบริหารมีอำนาจควบคุมมากขึ้น รวมถึงสามารถใช้หุ้นที่ซื้อคืนมาเป็น แรงจูงใจพนักงานผ่านโครงการหุ้นตอบแทน (Stock Option) เพื่อกระตุ้นให้พนักงานมีความผูกพันและตั้งใจทำงานเพื่อเพิ่มมูลค่ากิจการ
อีกทั้งการซื้อหุ้นคืนยังช่วย ป้องกันการถูกเข้าซื้อกิจการโดยไม่เป็นมิตร (Hostile Takeover) เพราะเมื่อจำนวนหุ้นที่มีอยู่ในตลาดลดลง บุคคลภายนอกที่ต้องการเข้ามาครอบงำกิจการจะต้องใช้ต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งช่วยปกป้องความเป็นอิสระของบริษัท
โดยสรุปแล้ว การซื้อหุ้นคืนเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการเงินที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น ช่วยปรับโครงสร้างเงินทุน และสร้างความมั่นคงให้กับราคาหุ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทที่เลือกใช้กลยุทธ์นี้ควรพิจารณาปัจจัยทางการเงินและแผนธุรกิจให้รอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรและผู้ถือหุ้นในระยะยาว
*อนึ่ง TKN แจ้งสิ้นสุดการซื้อหุ้นคืนแล้ว โดยได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืนทั้งสิ้น 15,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 1.09 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท รวมมูลค่า 127 ล้านบาท