“สุรเชษฐ์” เปิดซูเปอร์ดีลแสนล้าน “ไฮสปีด-ทางด่วน” เอื้อกลุ่มทุน จี้นายกฯเร่งจัดการ

นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เปิดข้อมูล 2 ซูเปอร์ดีลแสนล้าน “ไฮสปีด-ทางด่วน” เอื้อกลุ่มทุนทำรัฐเกิดความเสียหาย จี้นายกรัฐมนตรีเร่งจัดการแก้ไขปัญหาโดยด่วน


ผู้สื่อข่าวรายงานเย็น (24 มี.ค.68) ของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แบบลงมตินั้น นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสอง “ซูเปอร์ดีล” ที่มีมูลค่ารวมเกือบ 2 แสนล้านบาท ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนใหญ่ โดยเชื่อมโยงถึงบุคคลที่มีบทบาทสำคัญเบื้องหลังการผลักดันดีลนี้

นายสุรเชษฐ์ ระบุว่า ดีลแรกคือโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 1.49 แสนล้านบาท โครงการนี้ได้เซ็นสัญญาตั้งแต่ปี 2562 โดยกลุ่มทุนที่มีความใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญได้รับสัมปทาน แต่ตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา โครงการกลับไม่มีความคืบหน้า แม้ว่ารัฐจะอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลและมอบสิทธิพิเศษ เช่น การใช้ที่ดินมักกะสันและศรีราชารวมกว่า 50 ปี

นายสุรเชษฐ์ ชี้ว่า จุดอ่อนสำคัญคือการไม่ออก NTP (Notice to Proceed) หรือคำสั่งเริ่มงานจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยอ้างว่าเอกชนยังไม่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ทั้งที่อนุมัติแล้วตั้งแต่ปี 2565 แต่เอกชนยื้อไม่ส่งเอกสารจน BOI ต้องขยายเวลาถึง 3 ครั้ง ล่าสุดหมดอายุไปแล้วในเดือนมิถุนายน 2567  ดังนั้น รัฐบาลต้องกล้าสั่งการให้ รฟท. ออก NTP โดยด่วน หากมีการเลื่อนอีก จะถือว่าเป็นการเอื้อกลุ่มทุน นอกจากนี้ ยังมีการเสนอปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินจาก “สร้างเสร็จค่อยจ่าย” เป็น “สร้างไปจ่ายไป” ซึ่งรัฐต้องจัดงบประมาณล่วงหน้าถึง 1.25 แสนล้านบาท เพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ยให้เอกชน

สำรับดีลสอง นายสุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า นั้นคือการขยายสัมปทานทางด่วน วงเงินกว่า 34,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นการต่อสัมปทานทางด่วนเดิมที่มีกำไรสูงให้กับกลุ่มทุน โดยอ้างการสร้าง “Double Deck” หรือทางด่วนลอยฟ้าซ้อนทางด่วนเดิม ความยาว 17 กิโลเมตร พร้อมเส้นทางพิเศษเพิ่มเติม เช่น แจ้งวัฒนะ – บางปะอิน  โดยมองว่า โครงการนี้ไม่ได้ช่วยลดปัญหาการจราจรอย่างแท้จริง และอาจไม่คุ้มทุน แต่กลุ่มทุนต้องการใช้เป็นข้ออ้างเพื่อขยายสัมปทานจนถึงปี 2601 หรืออีกกว่า 33 ปี

นายสุรเชษฐ์ยังตั้งข้อสังเกตว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เคยให้คำมั่นว่าจะไม่เลื่อน ไม่แก้ไข แต่ภายหลังกลับลำสนับสนุนการขยายสัมปทานนี้

ทั้งสองดีลนี้ อาจทำให้รัฐอาจสูญเสียเงินกว่า 2 แสนล้านบาท รวมถึงความเสียหายในทรัพย์สินของรัฐ เช่น ที่ดินมักกะสัน มีข้อสงสัยว่ารัฐบาลอาจแก้สัญญาเพื่อเอื้อประโยชน์แก่เอกชนที่มีสายสัมพันธ์ทางการเมือง โครงการที่ควรทำเพื่อประโยชน์ของชาติกลับกลายเป็นเวทีหาเงินให้แก่กลุ่มทุนใหญ่

นายสุรเชษฐ์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลต้องเร่งแสดงความโปร่งใส และยุติวงจร “ทุจริตเชิงนโยบาย” ที่ใช้งบหลวงประเคนให้แก่กลุ่มทุนใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน

Back to top button