
DITTO เซ็นสัญญา TTA ปลูกป่าเฟสแรก 740 ไร่ พร้อมเดินหน้าออก ICO Token ไตรมาส 3
DITTO เซ็นสัญญาปลูกป่าเพื่อคาร์บอนเครดิตกับ TTA เฟสแรกแล้ว 740 ไร่ จำนวน 3 หมื่นกว่าตันคาร์บอน เล็งปิดดีลกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซฯ เพิ่มอีก 1.7 แสนตันคาร์บอน เดินหน้าออก ICO Token ซื้อขายคาร์บอนเครดิตไตรมาส 3
นายชัยทัด กุลโชควนิช รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านการเงิน บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DITTO เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า บริษัทกำลังพูดคุยกับหลายบริษัทที่สนใจร่วมโครงการปลูกป่าเพื่อคาร์บอนเครดิต โดยเฉพาะบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซฯ ซึ่งบริษัทเหล่านี้ยังไม่ต้องการเปิดเผยชื่อเนื่องจากมีการลงนามในข้อตกลงรักษาความลับ (NDA)
“เขากำลังประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กร (CFP/CFO) และพิจารณาว่าต้องซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชย (offset) เป็นจำนวนเท่าใด หลังจากที่ได้ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซด้วยตัวเองแล้ว แต่ประเมินเบื้องต้นจะไม่ต่ำกว่า 1.7 แสนตันคาร์บอนต่อบริษัท”
ส่วนความคืบหน้าของ ICO Token ขณะนี้ยังรอการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา โดยก.ล.ต.ยังคงขอข้อมูลเพิ่มเติม ประเด็นที่ก.ล.ต.ให้ความสำคัญคือ ความเข้าใจในเรื่องคาร์บอนเครดิต และวิธีการบันทึกบัญชี ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
ทั้งนี้ DITTO กำลังหารือกับผู้สอบบัญชี และคาดการณ์ว่าจะได้รับการอนุมัติ และสามารถเริ่มขาย ICO Token ได้ในช่วงปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3 ของปีนี้
ล่าสุด DITTO ได้ลงนามสัญญาความร่วมมือกับ TTA ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่เซ็นสัญญา เพื่อร่วมกันปลูกป่าในจังหวัดระยองบนพื้นที่ประมาณ 740 ไร่ โดย TTA มีเป้าหมายคาร์บอนเครดิตที่ต้องการคือ 34,785 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ในระยะเวลา 5 ปี
โดยแนวคิดความร่วมมือคือ DITTO มีพื้นที่และต้องการพันธมิตร ส่วน TTA ต้องการคาร์บอนเครดิตและมีงบประมาณลงทุน รูปแบบความร่วมมือคือ TTA จะลงทุนเริ่มแรก และเมื่อมีการตรวจวัดและรับรองคาร์บอนเครดิตได้ TTA จะได้รับสิทธิ์ก่อน (first priority) ในคาร์บอนเครดิตตามจำนวนที่ระบุในสัญญา ส่วนที่เหลือจะเป็นของ DITTO
นายคทารัฐ สุขแสวง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า โครงการในระยะแรกมีขนาด 740 ไร่ และ TTA มองว่าเป็นเพียงเฟสแรก โดยมีแผนที่จะพัฒนาโครงการในลักษณะนี้ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ TTA ยังมีการร่วมมือกับชุมชนอื่น ๆ ในการปลูกป่า เพื่อสนับสนุนด้านคาร์บอนเครดิตด้วย แต่โครงการเหล่านั้นมีขนาดไม่ใหญ่เท่ากับโครงการที่ทำร่วมกับ DITTO
สำหรับปริมาณคาร์บอนเครดิตที่คาดว่าจะได้ประมาณ 30,000 กว่าตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาร่วมกันกับ DITTO โดยสัดส่วนของคาร์บอนเครดิตที่จะเป็นของ TTA และ DITTO นั้นยังไม่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับการตกลงกัน อย่างไรก็ตามราคาคาร์บอนเครดิตและตัวเลขการลงทุน หรือจำนวนเงินที่ลงทุนในโครงการนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
ทั้งนี้ บทบาทของ DITTO เป็นผู้ริเริ่มโครงการ (initiator) และเป็นเจ้าของโครงการ (project owner) ในส่วนนี้ TTA เข้าไปมีบทบาทในการสนับสนุน
โดยวัตถุประสงค์หลักของความร่วมมือครั้งนี้เพื่อส่งเสริม ESG ของ TTA ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริม ESG โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม (E) เนื่องจากเป็นกระแสโลก
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนธุรกิจในกลุ่ม TTA ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ธุรกิจเดินเรือที่ใช้น้ำมัน ดังนั้นการสนับสนุนคาร์บอนเครดิตจึงเป็นแนวทางในการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
“คาร์บอนเครดิตเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะธุรกิจของเราบางธุรกิจ อย่างเช่นธุรกิจทางด้านเรือ ด้วยความรับผิดชอบเลยมองว่าจะต้องซัพพอร์ตในเรื่องของคาร์บอนเครดิต”
นายฐกร รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DITTO เปิดเผยว่า ความคืบหน้าในการออกเหรียญคาร์บอนเครดิต ขณะนี้คาดว่าอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารด้านบัญชี โดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต้องใช้เวลาพิจารณาพอสมควร คาดว่ากระบวนการอนุมัติจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2/2568 โดยหลังจากพิจารณาอนุมัติผ่านแล้ว จะมีระยะเวลา 1 ปี ในการกำหนดการซื้อขาย
ส่วนของร่างกฎหมายภาษีคาร์บอน ขณะนี้ได้ผ่านการพิจารณาทุกขั้นตอนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และอยู่ระหว่างการรอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติ ขณะที่แผนการปลูกป่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างเดินหน้าปลูกป่าชุมชนอยู่ โดยมีเป้าหมายรักษาและพัฒนาป่าให้มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ล่าสุดมีการขึ้นทะเบียนป่าปลูกใหม่กับ T-VER ประมาณ 2,000-3,000 ไร่ รวมปัจจุบันมีการขึ้นทะเบียนป่าจำนวนทั้งหมดประมาณ 22,000 ไร่
สำหรับแผนธุรกิจในปี 2568 DITTO ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้รวมที่ 20% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากธุรกิจ Data Management, Cybersecurity และ Engineering Tech โดยเฉพาะการขยายบริการกับลูกค้ากลุ่มเดิม และการเซ็นสัญญาโครงการใหม่ Backlog ณ สิ้นปี 2567 ประมาณกว่า 4,100 ล้านบาท แบ่งเป็น งานโครงการประมาณ 2,300 ล้านบาท และงานจัดการเอกสารประมาณ 1,800 ล้านบาท คาดรับรู้รายได้ปีนี้ 3,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของการควบรวมกิจการ (M&A) หรือการร่วมทุน (JV) ในธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวทางเดิมของบริษัท เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กร
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 1/2568 ก็มีรอเซ็นสัญญาอยู่ เป็นโครงการฝั่งการจัดเก็บข้อมูล หรือ Data มูลค่างานกว่า 100 ล้านบาท คาดว่าช่วงไตรมาส 1-2/2568 จะเห็นการเซ็นสัญญางานเติมเข้า Backlog เบื้องต้นประมาณ 400-500 ล้านบาท
ขณะเดียวกันจากนโยบายของรัฐบาลที่มีการเดินหน้าเข้าสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล นับเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจของ DITTO โดยเฉพาะในส่วนของโซลูชันการจัดเก็บและบริหารเอกสารดิจิทัล ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตตามการปรับตัวของหน่วยงานรัฐ มองว่าเป็นการช่วยขยายโอกาสให้กับบริษัทที่ให้บริการด้านนี้ โดยเฉพาะในส่วนของแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการข้อมูล