“สุเชษฐ์” มอง SET แกว่งไซด์เวย์ แนะเก็งกำไร 5 หุ้น ชูพื้นฐานแกร่ง

นายสุเชษฐ์ สุขแท้ มอง SET ยังคงแกว่งไซด์เวย์ ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยภายนอก กลยุทธ์การลงทุน ได้แนะนำการลงทุนแบบ “เล่นรอบ” เก็งกำไร 5 หุ้นเด่น คือ CPALL-OSP-TRUE-TTB-BAM ชูพื้นฐานแกร่ง


นายสุเชษฐ์ สุขแท้ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายมีเดียมาร์เก็ตติ้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ในวันนี้ (25 มี.ค.68) ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงแกว่งไซด์เวย์ ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะในช่วงที่ดัชนีอยู่ในระดับประมาณ 1,200 จุด ซึ่งถือเป็นแนวต้านสำคัญ หากสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ ก็จะมีโอกาสที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นต่อไป อย่างไรก็ตาม เขาแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนระยะสั้นในช่วงปลายสัปดาห์ เพื่อทำกำไร เนื่องจากสถานการณ์ในภายนอกยังคงมีความไม่แน่นอน

นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำถึงปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องจับตามอง โดยเฉพาะมาตรการภาษีจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินในยุโรป อเมริกา และเอเชียในวันที่ 2 ของเดือน ซึ่งถึงแม้จะมีความวิตกกังวลในตอนแรก แต่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ท่าทีของทรัมป์ดูผ่อนปรนมากขึ้น โดยมีการลดหย่อนและประนีประนอมเรื่องภาษี ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด

ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุน ได้แนะนำการลงทุนแบบ “เล่นรอบ” หรือการซื้อขายระยะสั้นเพื่อทำกำไรในหุ้นหลายตัว เช่น บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ซึ่งสามารถซื้อได้เมื่อราคาต่ำกว่า 50 บาท และมีแนวต้านที่ประมาณ 55 บาท แต่ยังไม่พร้อมทะลุ 60 บาท

ส่วน บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ซึ่งเป็นหุ้นที่มีลักษณะช้าและอึดอัด จุดรับสำคัญอยู่ที่ 14.50 – 14.80 บาท และสามารถเล่นรีบาวด์ระยะสั้นได้ที่ 15 – 15.30 บาท สำหรับหุ้น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ซึ่งราคาปรับตัวลงค่อนข้างลึก เป้าหมายอยู่ที่ 12.50-13-14 บาท เป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการเก็งกำไร

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้จับตามองหุ้นธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานในกลุ่มธนาคารขนาดเล็ก โดยมีเป้าหมายระยะสั้นที่ 2 – 2.20 บาท แต่ต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรที่ 2 บาท ส่วนบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM นั้นเหมาะสำหรับการสะสมระยะยาว เนื่องจากราคาต่ำลงถึง 6 บาท และคาดว่าจะมีการฟื้นตัวในอนาคต บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เป็นหุ้นที่สามารถเล่นรอบได้ โดยสามารถซื้อที่ 39 บาท และขายที่ 41 – 42 บาท

สำหรับ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS น่าสนใจที่ระดับ 22.80 บาท โดยมีเป้าหมายที่ 23.40 – 24 บาท ส่วนบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT สามารถสะสมที่ราคา 27 บาท โดยมีแนวต้านที่ 28 – 29 บาท แต่ไม่คาดว่าจะทะลุ 30 บาท และในกลุ่มน้ำมัน หากต้องการลงทุน ควรระมัดระวังความผันผวน แต่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ดูโดดเด่นจากข่าวการซื้อหุ้นคืน โดยมีเป้าหมายระยะกลางที่ 35 บาท และเป้าหมายระยะสั้นที่ 33 บาท

สำหรับทิศทางของตลาดในช่วงสิ้นเดือนนี้ นายสุเชษฐ์มองว่ายังคงสดใส แม้ว่าตลาดยุโรปจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย และตลาดอเมริกาจะติดลบในเช้าวันนี้ แต่ตลาดในคืนที่ผ่านมาได้ปรับตัวขึ้นแรง เขายังกล่าวถึงแนวโน้มของนักลงทุนไทยที่มักจะลงทุนในระยะสั้นเพื่อทำกำไร โดยแนะนำให้เล่นรอบและออกจากตลาดก่อนวันที่ 2 และค่อยกลับเข้ามาลงทุนใหม่หลังวันที่ 4-5 ซึ่งคาดว่าเป็นช่วงที่ตลาดจะมีทิศทางที่ดี

ในส่วนของปริมาณการซื้อขาย (Volume) หากวันนี้ดัชนีตลาดยังคงบวก แต่ปริมาณการซื้อขายยังคงต่ำ อาจเป็นผลมาจากนักลงทุนต่างชาติที่ยังไม่กล้าเสี่ยง เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะในวันที่ 2 ที่อาจมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการภาษี การที่ปริมาณการซื้อขายต่ำในช่วงนี้อาจสะท้อนถึงการ “รอคอย” ปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้สถานการณ์ชัดเจนขึ้น โดยคาดว่าตลาดอาจจะดีขึ้นบ้าง แต่ปริมาณการซื้อขายอาจจะไม่สูงมากนัก ดังนั้น จึงแนะนำให้เน้นการเก็งกำไรระยะสั้นและหาหุ้นดีเพื่อเล่นรอบ

Back to top button