
หุ้นยุโรปบวกยกแผง! ขานรับสัญญาณเชิงบวกจากสหรัฐฯคลาย “เทรดวอร์” ก่อนเส้นตายภาษี 2 เม.ย.นี้
ตลาดหุ้นยุโรปเขียวยกแผง นักลงทุนคลายกังวล หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งสัญญาณผ่อนปรนภาษี ก่อนเส้นตายต้นเดือนเมษายนนี้
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันอังคาร (25 มี.ค.68) ท่ามกลางความหวังว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ อาจใช้ท่าทีที่อ่อนลงเกี่ยวกับมาตรการภาษี ซึ่งช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน ก่อนถึงเส้นตายการเก็บภาษีในวันที่ 2 เม.ย.นี้
- ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 59 จุด เพิ่มขึ้น 3.66 จุด หรือ 0.67%
- ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 8,108.59 จุด เพิ่มขึ้น 26 จุด หรือ 1.08%
- ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนี ปิดที่ 23,109.79 จุด เพิ่มขึ้น 13 จุด หรือ 1.13%
- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 8,663.80 จุด เพิ่มขึ้น 79 จุด หรือ 0.30%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปวานนี้ได้รับแรงหนุนหลังจากที่ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ล่าสุดว่า ภาษีที่จะเรียกเก็บจากประเทศต่าง ๆ อาจไม่ถูกบังคับใช้ทั้งหมด และบางประเทศอาจได้รับการยกเว้น ส่งผลให้นักลงทุนมองว่า อาจมีความยืดหยุ่นในนโยบาย ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในตลาด
โดยดัชนี STOXX 600 ปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วัน ขณะที่ดัชนี euro STOXX equity volatility index หรือที่เรียกว่า “มาตรวัดความกลัว” ลดลงแตะระดับ 17.59 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 สัปดาห์ สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนที่ลดลง
นอกจากประเด็นเรื่องภาษี ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากข่าวดีเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครนและรัสเซีย โดยสหรัฐฯ รายงานว่า ทั้ง 2 ประเทศตกลงกันที่จะรับประกันความปลอดภัยในการเดินเรือในทะเลด และปฏิบัติตามข้อตกลงห้ามโจมตีโครงสร้างพลังงานของกันและกัน
ทั้งนี้หุ้นกลุ่มธนาคารยุโรปเป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 2.1% ปิดใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่หุ้นกลุ่มประกันเพิ่มขึ้น 1.3% ส่วนหุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลง 0.7%
อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดยุโรปคือข้อมูลจากเยอรมนี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจเพิ่มขึ้นในเดือนมีนาคม เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว หลังจากที่เยอรมนีเผชิญภาวะเศรษฐกิจหดตัวมานาน 2 ปี
ข้อมูลนี้ออกมาหลังจากที่รัฐบาลเยอรมนีอนุมัติแผนกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งรวมถึงการลงทุนหลายแสนล้านยูโรในภาคกลาโหมและโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เศรษฐกิจยูโรโซนได้รับการปรับประมาณการดีขึ้น ด้วยปัจจัยหนุนเหล่านี้ ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นสหรัฐฯ นับตั้งแต่ต้นปีนี้