GULF อัดงบลงทุน 5 ปีกว่า 1 แสนล้าน รุกธุรกิจ “รีนิว-ดาต้าเซ็นเตอร์”

GULF ดีเดย์เข้าเทรด 3 เม.ย.นี้ ประเดิมอัดงบลงทุน 5 ปี กว่า 1 แสนล้านบาท ขยายอาณาจักรพลังงานสะอาดในต่างประเทศ พร้อมลงทุนก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่ม 200 เมกะวัตต์ ภายใน 2-3 ปี


นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า การจัดตั้งบริษัทใหม่ภายหลังการควบรวมกับบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH จะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 เม.ย.นี้ ภายใต้ชื่อ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ชื่อย่อหุ้น GULF ตามเดิม และจะเริ่มกลับมาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ (เทรด) ภายในวันที่ 3 เม.ย.นี้ ซึ่งประโยชน์จากการควบรวมในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทใหม่มีฐานะการเงินที่แข็งแรงขึ้น

ขณะที่ งบลงทุนสำหรับบริษัทใหม่ เบื้องต้นตั้งงบลงทุน 5 ปี ไว้ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท หลัก ๆ จะใช้สำหรับการขยายลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาดสัดส่วน 60-70% โดยเฉพาะในต่างประเทศที่ยังมีโอกาสอีกมาก ส่วนงบลงทุนสำหรับปี 2568 อยู่ที่กว่า 20,000 ล้านบาท (ซึ่งยังไม่นับรวมโครงการใหม่) เพื่อใช้สำหรับโครงการที่อยู่ในแผน

ทั้งนี้ บริษัทใหม่จะถือหุ้นโดยตรงในบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC สัดส่วน 40% ซึ่งสามารถที่จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามาได้ไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี กระแสเงินสดและเงินปันผลมากขึ้นกว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี รวมถึงอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงจากเดิม 1.8 เท่า เหลือ 0.8 เท่า อีกทั้งอันดับเครดิตเรตติ้งจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง จากเดิมที่มีต้นทุนเงินกู้ที่ระดับ 3%

นอกจากนี้ ภายหลังการควบรวมจะทำให้บริษัทใหม่มี 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจพลังงาน 2.ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน 3.ธุรกิจดิจิทัล และ 4.ธุรกิจการลงทุนอื่น ๆ เช่น การลงทุนใน ADVANC และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM โดยแบ่งเป็นสัดส่วนกำไรจากธุรกิจพลังงานประมาณ 60% และจากธุรกิจที่เหลืออีก 40% ทั้งนี้ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 20-25%

กำไรและเงินปันผลหลังควบรวมนั้นอาจจะยังตอบตอนนี้ไม่ได้ เพราะจะมาจากผลประกอบการบริษัทใหม่ นโยบายแผนการลงทุนในอนาคต การบริหารจัดการกระแสเงินสด เพื่อจะสร้างความสมดุล ทั้งผลตอบแทนผู้ถือหุ้น การเงินการลงทุน และขยายการลงทุนในอนาคต แต่อยากให้ความมั่นใจว่า GULF มีการจ่ายปันผลมาตลอด จะเห็นว่าตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา มีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง”นายสารัชถ์ กล่าว

ขณะเดียวกัน ในส่วนของการลงทุนธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ปัจจุบันเฟส 1 มีกำลังผลิต 24 เมกะวัตต์ จะเสร็จภายในไตรมาส 2/2568 ขณะนี้มีลูกค้าจองเต็มเกือบหมดแล้ว และบริษัทมีแผนขยายในเฟส 2-3 ต่อไป กำลังการผลิตมากกว่าเดิม พร้อมทั้งคาดว่าดาต้าเซ็นเตอร์จะอยู่ที่ระดับ 200 เมกะวัตต์ ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ส่วนธุรกิจ Cloud Services ได้ร่วมมือกับ Google และยังมีพันธมิตรอีกหลายราย

ภายหลังจากตั้งบริษัทใหม่เรียบร้อยแล้ว น่าจะเห็นการลงทุนที่มากขึ้นในเชิงรุก โดยเฉพาะการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศที่ปัจจุบันมีคนมาชวนลงทุนจำนวนมาก รวมถึงการลงทุนธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์เฟสที่ 2-3 และธุรกิจดิจิทัลมากขึ้น” นายสารัชถ์ กล่าว

ส่วนการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) พลังงานไฮโดรเจน และโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) นั้น บริษัทไม่สนใจที่จะลงทุน เช่นเดียวกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ เช่น โครงการท่าเรือ, โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอร์เตอร์เวย์) ที่จะไม่ลงทุนเพิ่มเติม แต่เน้นลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์และดิจิทัล ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 20-25% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้น 1,500 เมกะวัตต์ จะมาจากโครงการหินกอง (HKP) หน่วยผลิตที่ 2 กำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ที่จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 5 โครงการ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน 2 โครงการ รวมกำลังการผลิตติดตั้งรวม 597 เมกะวัตต์ ที่มีแผนจะ COD ในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2568, โครงการโซลาร์รูฟท็อป ภายใต้ GULF1 เพิ่มอีก 110 เมกะวัตต์ ในปีนี้ ส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจาก 15,100 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 16,577 เมกะวัตต์ ในปีนี้

นายสารัชถ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนในการซื้อหุ้นธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK นั้น นอกจากบริษัทจะเน้นการลงทุนด้านพลังงานแล้ว บริษัทยังมีพอร์ตลงทุนกองทุนในต่างประเทศ ดังนั้นการลงทุนใน KBANK จึงเป็นการลงทุนทั่วไป ที่หวังว่าจะได้ผลตอบแทนการลงทุน มองว่าหากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมาก ๆ ก็คงขาย ซึ่งเป็นการซื้อเพื่อการลงทุน โดยมีโอกาสการลงทุนได้หมดทั้งซื้อหรือขาย เพราะขึ้นอยู่ที่ราคา อย่างไรก็ตามหากราคาหุ้น KBANK ตกมาที่ 90 บาท ก็คงซื้อหุ้นเพิ่มอีก

โดยปัจจุบัน GULF ถือหุ้น KBANK ปิดสมุดทะเบียนล่าสุด ณ วันที่ 13 มี.ค. 2568 GULF ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 5 ด้วยจำนวน 77,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 3.25% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดในกิจการ

ขณะที่ ผู้ถือหุ้นกัลฟ์ 5 อันดับแรก ได้แก่

อันดับที่ 1 บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือ 365,394,442 หุ้น สัดส่วน 15.42%

อันดับที่ 2 STATE STREET EUROPE LIMITED ถือ 177,909,519 หุ้น สัดส่วน 7.51%

อันดับที่ 3 SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED ถือ 114,429,498 หุ้น สัดส่วน 4.83%

อันดับที่ 4 สำนักงานประกันสังคม ถือ 80,643,140 หุ้น สัดส่วน 3.40% และ

อันดับที่ 5 GULF

ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ กัลฟ์เป็นผู้ประกอบการเอกชนรายแรกที่นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มาป้อนให้กับโรงไฟฟ้าในกลุ่ม โดยปีนี้คาดว่าจะมีการนำเข้าประมาณ 4-5 ล้านตัน จากปี 2567 มีการนำเข้า 6 แสนตัน พร้อมทั้งคาดว่าจะเซ็นสัญญาซื้อ LNG ระยะยาว 10 ปี ประมาณ 2-3 ล้านตันภายในปีนี้

Back to top button