
“ดาวโจนส์” ปิดลบ 132 จุด ผวาภาษีนำเข้ารถยนต์ “สหรัฐ” จุดชนวนเทรดวอร์ปะทุ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญความผันผวนอย่างหนัก จากความกังวลของนักลงทุนต่อผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้ารถยนต์ฉบับใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดปรับตัวในแดนลบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพุธที่ 26 มีนาคม 2568 โดยลดลง 132.71 จุด หรือ -0.31% ปิดที่ 42,454.79 จุด ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ ซึ่งเพิ่งได้รับการลงนามโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ โดยคำสั่งดังกล่าวจะเรียกเก็บภาษีในอัตรา 25% สำหรับรถยนต์ทุกคันที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนเป็นต้นไป
ทั้งนี้ การประกาศมาตรการภาษีครั้งนี้สร้างแรงกดดันต่อตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบในวงกว้าง ดัชนี S&P500 ร่วงลง 64.45 จุด หรือ -1.12% ปิดที่ 5,712.20 จุด และดัชนี Nasdaq ดิ่งลงถึง 372.84 จุด หรือ -2.04% ปิดที่ 17,899.02 จุด นำโดยแรงเทขายในหุ้นกลุ่มยานยนต์ เทคโนโลยี และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ด้านหุ้นบริษัทรถยนต์ชั้นนำปรับตัวลดลงอย่างหนัก โดยเทสลาร่วง 5.6% ขณะที่เจเนอรัล มอเตอร์ ร่วง 3.1% เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่ามาตรการดังกล่าวอาจกระตุ้นให้ประเทศคู่ค้าตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง
ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีและบริการสื่อสารซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงสุดในดัชนี S&P500 ก็ได้รับแรงกดดันเช่นกัน โดยหุ้นเมตา แพลตฟอร์ม ร่วงลง 2.45% หุ้นอัลฟาเบท ดิ่ง 3.27% หุ้นอะเมซอน ร่วง 2.2% และหุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดลง 2.67% ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์เผชิญแรงขายหนัก นำโดยหุ้นอินวิเดียที่ร่วงลง 5.7% บรอดคอมลดลง 4.7% และอินเทลปรับตัวลง 3.22% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ในตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟียร่วงลง 3.3%
บาร์เคลย์ส (Barclays) ปรับลดคาดการณ์เป้าหมายดัชนี S&P500 ลงสู่ระดับ 5,900 จุด จากเดิม 6,600 จุด โดยให้เหตุผลว่ามาตรการภาษีอาจชะลอการเติบโตของกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในระยะถัดไป
อย่างไรก็ดี ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ บางส่วนยังแสดงสัญญาณเชิงบวก โดยกระทรวงพาณิชย์รายงานว่ายอดสั่งซื้อสินค้าคงทนในเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 0.9% สวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่มองว่าจะลดลง 1.0% ขณะที่นักลงทุนจับตาดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งจะประกาศในวันศุกร์นี้ โดยเป็นหนึ่งในเครื่องชี้วัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ความสำคัญ