
“กรภัทร” ชี้ SET “ไซด์เวย์” แนะเก็บหุ้นปันผล-แบงก์ พ่วงกลุ่ม Domestic Play
“กรภัทร” ชี้ SET “ไซด์เวย์” กรอบ 1,180–1,200 จุด ท่ามกลางแรงกดดันมาตรการภาษีนำเข้ารถยนต์สหรัฐฯ มีผล 2 เม.ย.นี้ ขณะที่ปัจจัยในประเทศเริ่มฟื้นตัวจากนโยบายภาครัฐ-แผนซื้อหุ้นคืน “บลูชิพ” แนะลงทุนหุ้นปันผลสูง เน้นกลุ่มแบงก์-Domestic Play เช่น KTB, SCB, KBANK,CPALL, ADVANC, AP,SIRI
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (27 มี.ค.67) ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงแกว่งตัว โดยมีแนวรับที่ 1,180 จุด และแนวต้านที่ 1,200 จุด
โดยปัจจัยลบจากต่างประเทศยังคงเป็นแรงกดดัน โดยเฉพาะการที่สหรัฐอเมริกาเตรียมจัดเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ไม่ได้ผลิตภายในประเทศในอัตรา 25% ซึ่งส่งผลลบต่อการค้าโลก โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย.และอาจกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีสัดส่วนประมาณ 10% ของยอดส่งออกรวมของประเทศ ทำให้นักลงทุนจับตาว่าไทยจะกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมทำให้ตลาดอยู่ในภาวะผันผวน
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นมีสัญญาณเชิงบวกจากปัจจัยภายในประเทศ ทั้งในด้านการเมืองไทยที่เริ่มคลี่คลาย และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงความชัดเจนในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และมาตรการเราเที่ยวด้วยกันน่าจะทำให้ตลาดฟื้นตัว
ผสานกับหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวประกาศซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) เช่น PTT,HMPRO, TTB และในกลุ่มแบงก์มีการรขยายอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับหุ้นกลุ่มนี้ และหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวยังมีกระแสเงินสดเพียงพอที่จะซื้อหุ้นคืน และมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น (Undervalued) เช่น CPALL, BJC,PTTEP, GPSC, SCGP,PTTGC และ TOP ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสซื้อหุ้นคืน
ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะกลางถึงยาวยังคงมีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตลาดเริ่มเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวที่ชัดเจน และสามารถยืนเหนือระดับ 1,220 จุด ได้ ซึ่งอาจจะทำให้โมเมนตัมการเก็งกำไรกลับมานักลงทุนควรเน้นการลงทุนระยะกลางถึงยาว ในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Value Stock) เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันสร้างโอกาสในการลงทุนระยะยาว
นอกจากนี้หุ้นปันผลเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้น Big Cap ที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในเดือนเมษายน แนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ เช่น กลุ่มธนาคาร (KTB, SCB, KBANK) และหุ้นอื่นๆ เช่น AP,SIRI, ADVANC
นอกจากนี้หากพิจารณาหุ้น SET-mai กว่า 900 ตัว มีหุ้นเกินครึ่งที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 3% และบางตัวสูงถึง 4-5% ซึ่งน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตามแนะนำให้นักลงทุนเลือกหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาว และอยู่ในอุตสาหกรรมที่ยังไม่เข้าสู่ช่วงขาลง หรือ Value Stock
ส่วนประเด็นเรื่อง Entertainment Complex หากได้รับการอนุมัติจาก ครม. จะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มภาคบริการ เช่น AOT, BTS, VGI และ MINT เนื่องจากคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ