
ตลท.จี้ PRIME ชี้แจงงบปี 67 ปมขายบริษัทย่อย 475 ลบ. รับเงินเพียง 27% กระทบธุรกิจ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ PRIME ชี้แจงงบปี 67 หลังผู้สอบบัญชีให้ความเห็นมีเงื่อนไข ปมขายบริษัทย่อย 475 ล้านบาท แต่รับเงินเพียง 27% พร้อมข้อสังเกตความสามารถดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง กระทบฐานะการเงิน ภายในวันที่ 3 เม.ย. 68
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 มี.ค. 68) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขอให้ทาง บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME ชี้แจงข้อมูลในงบการเงินประจำปี 2567 โดยผู้สอบบัญชีแสดงความเห็นอย่างมีเงื่อนไข (1) บริษัทย่อยขายหุ้น 7 บริษัทย่อยเป็นเงิน 475 ล้านบาท โดยโอนหุ้นให้ผู้ซื้อแล้วในขณะที่ได้รับชำระเงิน 27% ของมูลค่าขาย (2) เงินจ่ายล่วงหน้าค่าหุ้นแทนบุคคลที่เกี่ยวข้องว่าจะได้รับคืนหรือไม่ขึ้นอยู่กับผลการตัดสินคดีของศาล รวมทั้งมีข้อสังเกตกรณีความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่อง กรณีข้างต้นอาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน และการประกอบธุรกิจของกลุ่มบริษัท
โดยขอให้ชี้แจงข้อมูลผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 3 เมษายน 2568 ในส่วนความเห็นของคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบ ภายในวันที่ 10 เมษายน 2568 นอกจากนี้ ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงินของ PRIME และติดตามคำชี้แจงของบริษัท
สำหรับสรุปข้อมูลสำคัญในงบการเงินประจำปี 2567
1. เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 PRIME อนุมัติให้ Prime Solar Energy Corporation (PSE : บริษัทย่อย 100%) ขายหุ้น 7 บริษัทย่อยที่ทำธุรกิจโรงไฟฟ้าในไต้หวันเป็นเงิน 475 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ผู้ซื้อชำระเงิน 130 ล้านบาท และ PSE ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อกรรมการ ชื่อผู้ถือหุ้น และโอนหุ้นให้ผู้ซื้อแล้ว สำหรับค่าขาย ที่ยังไม่ได้รับชำระ 345 ล้านบาท ผู้ซื้อจะทยอยจ่าย 4 งวด ทั้งนี้ ผู้สอบแสดงความเห็นอย่างมีเงื่อนไขเพิ่มเติมในเรื่องดังต่อไปนี้
หนี้ที่บริษัทย่อย 7 แห่งมีกับกลุ่มบริษัท มูลค่า 511 ล้านบาท ซึ่งผู้สอบบัญชีไม่ได้รับการยืนยันยอดหนี้จากผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อให้เหตุผลว่าอยู่ระหว่างเจรจากับกลุ่มบริษัท ซึ่งอาจมีผลต่อมูลค่าซื้อขายที่ตกลงกันไว้ในสัญญา
การไม่สามารถประเมินการด้อยค่าเงินลงทุน PSE (เงินลงทุน PSE 1,058 ล้านบาท) ซึ่งอาจกระทบต่อทรัพย์สินของ PSE ที่บันทึกอยู่ในงบการเงินรวม
2. กลุ่มบริษัทจ่ายเงินล่วงหน้าค่าหุ้นแทนบุคคลที่เกี่ยวข้องที่เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทย่อย 22 ล้านบาท ต่อมามีคดีฟ้องร้องกัน ดังนั้นเงินจะได้รับคืนหรือไม่ขึ้นอยู่กับผลการตัดสินคดีของศาล
3. ความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อชำระหนี้และใช้ในธุรกิจ เนื่องจาก PRIME มีหนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน 2,197 ล้านบาท มีขาดทุนสะสม 723 ล้านบาท และเดือนกรกฎาคมและธันวาคม 2568 มีหุ้นกู้ที่จะต้องชำระรวม 670 ล้านบาท รวมทั้งในปี 2568 PRIME ยังมีเงินกู้ยืมสถาบันการเงินที่ต้องชำระรวม 310 ล้านบาท