ตลท.เตรียมฟื้นวอลุ่มคืน ลุยโรดโชว์สิงคโปร์ ฟากกรุงศรี แนะซื้อหุ้นปันผลสูง

“อัสสเดช” เตรียมมาตรการดึงวอลุ่มตลาดหลักทรัพย์ หลัง 4 วันล่าสุดเทรดต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท พร้อมลุยโรดโชว์สิงคโปร์ ขับเคลื่อนไทยสู่ Safe Haven แห่งการลงทุน ขณะที่บล.กรุงศรีแนะลงทุนหุ้นปันผลสูงเน้นกลุ่มแบงก์-Domestic Play เช่น KTB, SCB, KBANK, CPALL


นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังหารือเพื่อนำมาตรการเข้ามาช่วยกระตุ้น หรือเพิ่มมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย หลังในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา วอลุ่มในตลาดหุ้นไทยลงมาต่ำมาก ซึ่งไม่เคยเห็นต่ำขนาดนี้มาก่อน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังวิเคราะห์กันอยู่ว่าเหตุผลคืออะไร

อย่างไรก็ดี เท่าที่พบ คือ หลายปัจจัยมาจากความผันผวนในต่างประเทศ เพราะหากดูวอลุ่มของตลาดหุ้นในภูมิภาคต่างลดลงเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ปัจจัยภายนอกเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ทุกคนชะลอตัดสินใจลงทุน แต่น่าจะเป็นเพียงระยะสั้น เพราะปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ เริ่มดีขึ้น

“ในแง่ตลาดทุนเราอยากให้วอลุ่มสูงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะมีผลต่อความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นทั้งทวีปว่าย่อตัวกันหมดในเรื่องสภาพคล่อง ดังนั้น ไม่ได้เป็นแต่ตลาดหุ้นไทย ส่วนมาตรการอย่างกองทุน LTF, Thai ESGX หวังจะเป็นตัวกระตุ้นได้ระดับหนึ่ง และช่วงครึ่งปีหลังหากมีการเปิดตัวโครงการ Jump+ ขึ้นมา และ บจ.มีแผนการลงทุนหรือขยายกิจการที่ชัดเจน น่าจะช่วยสร้างความน่าสนใจในบริษัทจดทะเบียน ซึ่งมาตรการเหล่านี้ที่ทำอยู่แล้วควรมีผลในการกระตุ้นวอลุ่มให้ดีขึ้นด้วย” นายอัสสเดช กล่าว

นายอัสสเดช กล่าวอีกว่า ตลาดหุ้นในช่วงนี้มีความผันผวนค่อนข้างมาก ซึ่งดูจากฟันด์โฟลว์ตอนนี้ยังเข้า ๆ ออก ๆ ส่วนนักลงทุนในประเทศจะมีเข้า-ออกบ้างเป็นบางจังหวะ แต่ในมุมมองตอนนี้ “มูลค่า” หรือ “ราคา” และความน่าสนใจของตลาดทุนถือว่านิ่งแล้ว ทั้งการจ่ายปันผลที่ค่อนข้างสูงและระดับ P/E Ratio ค่อนข้างต่ำหรือเทียบเท่ากับภูมิภาคแล้ว จากเดิมอาจสูงกว่า ซึ่งนักลงทุนต่างชาติเริ่มสนใจเข้ามามากขึ้น โดยต้องมาวิเคราะห์ว่าบริษัทไหนน่าลงทุน ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านี้

ขณะที่เรื่องสงครามการค้ากับต่างประเทศ มองว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนกังวลอยู่ แต่อยากให้ทุกคนวิเคราะห์หรือวางแผนให้ดีเพื่อลดความผันผวนและแข่งขันกับต่างประเทศได้ด้วย ซึ่งต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด

ส่วนประเด็นปัญหาเรื่องของ “ค่าเงินอินโดนีเซีย” จะมีผลกระทบต่อฟันด์โฟลว์ที่จะเข้ามาในตลาดหุ้นไทยหรือไม่นั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังมอนิเตอร์อยู่ว่าจะมีเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยบ้างไหม ซึ่งทั่วโลกมีฟันด์โฟลว์ที่เมื่อเกิดปัญหาจากที่หนึ่ง ก็จะไปหาที่ปลอดภัยกว่า โดย ณ วันนี้หวังว่าเศรษฐกิจไทยถือเป็น “Safe Haven” มูลค่าทรัพย์สินหรือหลักทรัพย์ในประเทศไทยอยู่ในราคาที่โบรกเกอร์ต่างชาติได้ออกมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุน สะท้อนให้เห็นว่ามูลค่าของตลาดทุนไทยเริ่มน่าสนใจแล้ว รวมกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจน่าจะเป็น Safe Haven ที่หวังว่าจะมีเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาในตลาดทุนมากขึ้น

สำหรับกรณี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เข้าพบกับทูตจากสถานเอกอัครราชทูตในประเทศไทยจำนวน 33 ประเทศนั้น ซึ่งตามข้อเท็จจริง จัดเป็นประจำทุกปี และนอกเหนือจากการจัดงานนี้ ยังได้พบท่านทูตจากต่างประเทศค่อนข้างมาก ถือเป็นการร่วมมือกันและรับฟังความคิดเห็นจากท่านทูตต่าง ๆ ว่าเศรษฐกิจหรือนักธุรกิจในประเทศนั้น ๆ สนใจประเทศไทยยังไงและมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจและความมั่นคง รวมถึงการลงทุนในประเทศไทยยังไงบ้าง ซึ่งจะใช้ประโยชน์ในการวางแผนเพื่อสนับสนุนและดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศไทย

ด้านความคืบหน้ามาตรการส่งเสริมการออมนั้น มาตรการของกระทรวงการคลังที่จะโยกเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มาที่กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) น่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. 2568 ซึ่งทุกภาคส่วนทั้ง ก.ล.ต., บลจ.และตลท.กำลังเร่งรีบวางพื้นฐานและระบบให้พร้อม เพื่อให้นักลงทุนโยกเม็ดเงินและลงทุนเพิ่มได้ด้วย

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะไปจัดโรดโชว์เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น โดยประเทศแรกที่จะไปคือประเทศสิงคโปร์ ภายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ รวมถึงมีบริษัทจดทะเบียนไทยหลายแห่งก็อยากไปเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจไทยและออกไปโชว์เคสว่าเรายังมีของดีและบริษัทที่ยังเติบโตอยู่

ด้านนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้แกว่งตัว มีแนวรับที่ 1,180 จุด และแนวต้านที่ 1,200 จุด ซึ่งปัจจัยลบจากต่างประเทศยังคงเป็นแรงกดดัน โดยเฉพาะการที่สหรัฐฯ เตรียมจัดเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ไม่ได้ผลิตภายในประเทศในอัตรา 25% จึงส่งผลลบต่อการค้าโลก โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย. และอาจกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีสัดส่วนประมาณ 10% ของยอดส่งออกรวมของประเทศ ทำให้นักลงทุนจับตาว่าไทยจะกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อม ทำให้ตลาดอยู่ในภาวะผันผวน

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นมีสัญญาณเชิงบวกจากปัจจัยภายในประเทศ ทั้งในด้านการเมืองไทยที่เริ่มคลี่คลาย และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงความชัดเจนในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และมาตรการเราเที่ยวด้วยกันน่าจะทำให้ตลาดฟื้นตัว

ผสานกับหุ้นขนาดใหญ่หลายหุ้นประกาศซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO, ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB และในกลุ่มแบงก์มีการขยายอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับหุ้นกลุ่มนี้

ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่หลายหุ้นมีกระแสเงินสดเพียงพอซื้อหุ้นคืน และมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น (Undervalued) เช่น บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสซื้อหุ้นคืน

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะกลางถึงยาวยังคงมีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตลาดเริ่มเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวที่ชัดเจน และสามารถยืนเหนือระดับ 1,220 จุด ได้ ซึ่งอาจจะทำให้โมเมนตัมการเก็งกำไรกลับมา ดังนั้น นักลงทุนควรเน้นการลงทุนระยะกลางถึงยาว ในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Value Stock) เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันสร้างโอกาสในการลงทุนระยะยาว

นอกจากนี้ หุ้นปันผลเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในเดือน เม.ย.นี้ แนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ (ก่อนขึ้น XD) เช่น กลุ่มธนาคาร แนะ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และหุ้นอื่น ๆ เช่น บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP, บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC

นอกจากนี้ หากพิจารณาหุ้นใน SET-mai กว่า 900 หุ้น มีหุ้นเกินครึ่งที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 3% และบางตัวสูงถึง 4-5% ซึ่งน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตาม แนะนำให้นักลงทนเลือกหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาว และอยู่ในอุตสาหกรรมที่ยังไม่เข้าสู่ช่วงขาลง หรือ Value Stock

Back to top button