
“กัณฑรา” แนะลงทุนกลุ่ม “แบงก์-สื่อสาร” เด่น
กัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา แนะจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนดัชนีฟื้นตัวยืนเหนือ 1,200 จุด แนะลงทุนกลุ่ม Domestic Plays ชู KBANK-KTB-BBL รวมถึงกลุ่มสื่อสาร ADVANC เด่น
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ FSS กล่าวในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (28 มี.ค.68) คาดการณ์ว่ามูลค่าการซื้อขาย SET Index ในช่วงสัปดาห์นี้เบาบางลง เป็นผลมาจากนโยบายภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 2 เม.ย.68 รวมไปถึงกรณีการหยุดซื้อขายของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULFI และ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH
นอกจากนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าในช่วงนี้ตลาดหุ้นพบกับวันหยุดยาวค่อนข้างบ่อย และ SET Index ที่ผ่านมาปรับตัวลดลงเกือบทุกวัน ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุน เพื่อรอดูสถานการณ์และทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาด จากปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ ปริมาณการซื้อขายใน SET Index ลดลงและเบาบางลงตามที่เห็นในปัจจุบัน
ขณะที่ ปัจจัยภายในประเทศยังต้องการการกระตุ้นจากภาครัฐผ่านมาตรการต่างๆ โดยมองว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะช่วยส่งเสริมให้ GDP ขยายตัวได้มากขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนให้ ดัชนี SET Index สามารถปรับตัวขึ้นได้ตามไปด้วย ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่า เราได้เห็นความเคลื่อนไหวทั้งการเห็นชอบ พ.ร.บ. Entertainment Complex ขณะที่ มาตรการที่ยังไม่เห็นการอนุมัติ คือ เราเที่ยวด้วยกัน ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าอยากเห็นภาพการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเรื่อย ๆ
ส่วนเมื่อวันที่ 27 มี.ค.ที่ ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้เข้าซื้อสุทธิ (Net Buy) ในตลาดหุ้นไทยเป็นมูลค่ารวม 1,172.20 ล้านบาท โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าแรงซื้อดังกล่าวอาจมุ่งเน้นไปที่หุ้นขนาดใหญ่ 3-4 ตัว โดยเฉพาะในกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ อีกทั้ง นักวิเคราะห์ยังประเมินว่า การอนุมัติ Entertainment Complex อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพา ภาคการท่องเที่ยว เป็นหลัก
ขณะที่กรณี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร เปิดเผยว่า รัฐบาลมีแผนสนับสนุนให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ดำเนินมาตรการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับ การปั่นหุ้น และ naked short นั้น นักวิเคราะห์มองว่า ขณะนี้ ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่ามีการทำธุรกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่การออกมาตรการเพิ่มอำนาจให้ ก.ล.ต. ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้อีกระดับ ทั้งนี้ หากมาตรการดังกล่าวถูกนำมาใช้จริง คาดว่า ก.ล.ต. จะสามารถดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติได้ลึกมากยิ่งขึ้น
นายพิชัย แสดงความเห็นว่า ธุรกรรม naked short อาจมีแหล่งที่มาจากนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังไม่สามารถสรุปข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวได้ เนื่องจากขณะนี้ ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนยืนยัน ทั้งนี้ การเพิ่มอำนาจให้กับ ก.ล.ต. ในการตรวจสอบธุรกรรม จะช่วยให้นำไปสู่ความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว และส่งผลให้นักวิเคราะห์สามารถประเมินได้ว่าธุรกรรมลักษณะนี้ เกิดขึ้นจริงในตลาดทุนไทยหรือไม่
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนนั้น ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่า ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการสร้างพอร์ตการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว เพื่อให้พอร์ตมีความสมบูรณ์ ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ยังประเมินว่าหากดัชนีสามารถปรับตัวทะลุระดับ 1,200 จุด ได้ แรงเก็งกำไรจะกลับเข้าสู่ตลาด
ขณะที่ ปัจจุบันปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นยังอยู่ในระดับต่ำและยังไม่มีแรงขับเคลื่อนที่ชัดเจน ส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวขึ้นลงในกรอบจำกัด นอกจากนี้ หากดัชนีสามารถขยับไปถึงระดับ 1,220 จุด จะยิ่งช่วยเสริมความเชื่อมั่นในการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวมากขึ้น
ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนใน หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากมี อัตราเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ดี และผลประกอบการแข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มน้ำมัน ก็น่าสนใจจากปัจจัยหนุนด้านราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเข้าเก็งกำไร
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนใน หุ้นกลุ่ม Domestic Plays เป็นหลัก เนื่องมาจากอาจได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
โดยกลยุทธ์การลงทุน คือ ลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL รวมถึง หุ้นกลุ่มสื่อสาร อย่าง บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนักวิเคราะห์แนะนำให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการเข้าลงทุนในหุ้น กลุ่มส่งออก เนื่องจากอาจได้รับผลกระทบจาก มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ โดยแนะนำให้นักลงทุน รอความชัดเจนของนโยบายดังกล่าวในสัปดาห์หน้า เพื่อประเมินผลกระทบและวางแผนการลงทุนอย่างเหมาะสม