
FM ปักธงรายได้ปีนี้โต 15% “ออลไทม์ไฮต่อ” รุกหนักไก่แปรรูป เจาะตลาดซาอุฯ–ฟิลิปปินส์
FM มั่นใจรายได้ปี 68 “ออลไทม์ไฮต่อ” โต 12-15% รุกหนักไก่แปรรูป เดินหน้าเพิ่มกำลังผลิต ขยายตลาดใหม่ซาอุดีอาระเบีย–ฟิลิปปินส์–เกาหลีใต้ พร้อมสยายปีกธุรกิจ "อาหารสัตว์เลี้ยง" คาดชัดเจนไตรมาส 2-3 ปีนี้ หวังดันยอดขายทะลุ 10,000 ล้านบาท ภายในปี 70
นายณัฐพล ดุษฎีโหนด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดโมเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ FM เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจปี 2568 พร้อมโชว์วิสัยทัศน์ในอนาคตภายในงาน Thailand Earnings Call ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2568 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้รวมไว้ที่ประมาณ 12-15%
โดยการเติบโตหลักจะมาจากธุรกิจไก่แปรรูปปรุงสุก (CAV) ซึ่งคาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นที่ 20-25% ในขณะที่ธุรกิจไก่ชำแหละคาดว่าจะเติบโตประมาณ 5-7% และมีแผนที่จะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับประมาณ 13-15%ของยอดขาย
สำหรับรายได้หลักบริษัทมาจากธุรกิจไก่ชำแหละ 60% และไก่แปรรูปปรุงสุก 40% โดยมีสัดส่วนการขายในประเทศ 50% และส่งออก 50% ขณะที่ตลาดหลักในการส่งออกคือ ญี่ปุ่น (75%) ยุโรป (22%) จีน (8%) และมาเลเซีย (4%)
โดยบริษัทยังมองเห็นโอกาสในการเจาะตลาดใหม่ เช่น ซาอุดีอาระเบีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ หากสามารถเจรจาเปิดตลาดและลดข้อจำกัดด้านโควตาและภาษีนำเข้าได้ เนื่องจากมองว่าการเติบโตในตลาดต่างประเทศยังมีอีกมาก โดยเฉพาะสำหรับ ไก่แปรรูปปรุงสุก ที่ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลกด้วยส่วนแบ่งตลาด 28% แต่ยังส่งออกไปไดยังเพียง 15 ประเทศ
นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าภายใน 3 ปี (68-70) ที่จะมียอดขายแตะ 10,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ13% และเมื่อเทียบปี 2567 คาดว่ายอดขายจะเติบโต 35% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการส่งออก โดยคาดการณ์ว่า 70% ของการเติบโตจะมาจากการเติบโตของธุรกิจไก่แปรรูป และเนื้อไก่ชำแหละโต 25%
อีกทั้งบริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้า Global Brand โดยเฉพาะกลุ่ม QSR ซึ่งมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในระดับโลก และการเปิดตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญ โดยจะใช้จุดแข็งด้านคุณภาพและ R&D เพื่อเจาะตลาด
ขณะที่ปีนี้บริษัทเตรียมงบลงทุนราว 300-400 ล้านบาท โดย 60% จะใช้สำหรับการขยายกำลังการผลิตไก่แปรรูป และอีก 40% สำหรับโรงชำแหละ
นอกจากนี้บริษัทเดินหน้าแผนธุรกิจ “อาหารสัตว์เลี้ยง” (Pet Food) ซึ่งใช้ by-product จากไก่มาเพิ่มมูลค่า โดยขณะนี้ได้จัดตั้งบริษัทไว้แล้ว และอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบการดำเนินธุรกิจว่าจะร่วมทุนกับพันธมิตรเดิมหรือสร้างโรงงานใหม่เองโดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 2–ไตรมาส 3 ปีนี้
“บริษัทมองว่าโอกาสของไก่ไทยในตลาดโลกปีนี้มีทิศทางสดใสเนื่องมาจากปัญหาโรคระบาดไข้หวัดนกในกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่อื่นๆ เช่น อเมริกาและโปแลนด์ ซึ่งอาจส่งผลให้ปริมาณไก่จากคู่แข่งลดลง และทำให้ไก่ไทยได้รับความสนใจมากขึ้น และมองว่าแนวโน้มราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตข้าวโพดและกากถั่วเหลืองมีแนวโน้มทรงตัวทรงตัว และอาจมีการปรับลดลงบ้างเล็กน้อย ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อต้นทุนและผลประกอบการโดยรวม ส่วนแนวโน้มไตรมาส 1/68 คาดว่าจะเติบโตดีจากาการสนับสนุนจากการได้ลูกค้าใหม่และการเปิดตลาดใหม่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และบริษัทคาดหวังว่าผลประกอบการจะเติบโตต่อเนื่องและทำ New High จากปีที่ผ่านมา” นายณัฐพล ดุษฎีโหนด กล่าวเพิ่มเติม