
“ดาวโจนส์” ปิดบวก 417 จุด จับตา “พาวเวล” กล่าวสุนทรพจน์ 4 เม.ย.นี้
“ดาวโจนส์” ปิดบวก 417 จุด แต่ยังถูกกดดันจากความวิตกสงครามการค้า จับตา “เจอโรม พาวเวล” กล่าวสุนทรพจน์ 4 เม.ย.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกเมื่อวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม 2568 โดยฟื้นตัวจากแรงขายระหว่างวันและปิดที่ระดับ 42,001.76 จุด เพิ่มขึ้น 417.86 จุด หรือ +1.00% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,611.85 จุด เพิ่มขึ้น 30.91 จุด หรือ +0.55% ส่วนดัชนี Nasdaq ปรับตัวลดลง 23.70 จุด หรือ -0.14% ปิดที่ 17,299.29 จุด
อย่างไรก็ตาม ตลอดเดือนมีนาคมและไตรมาส 1/2568 ตลาดหุ้นนิวยอร์กเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากความวิตกเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจจุดชนวนสงครามการค้าทั่วโลก ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 4.2% ในเดือนมี.ค. และปรับตัวลดลง 1.3% ตลอดไตรมาส ขณะที่ S&P500 ลดลง 5.8% และ 4.6% ตามลำดับ ส่วน Nasdaq ร่วงหนักถึง 8.2% ในเดือนเดียว และดิ่งลง 10.5% ในไตรมาสแรก
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ประกาศให้วันที่ 2 เมษายนเป็น “วันแห่งการปลดปล่อย” ของสหรัฐฯ โดยรัฐบาลเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% และใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) ต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลก ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยดัชนีความผันผวน CBOE VIX พุ่งขึ้น 2.91% แตะระดับ 22.28 สูงสุดในรอบสองสัปดาห์
โดยในรายกลุ่มอุตสาหกรรม หุ้นในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก 10 จาก 11 กลุ่ม นำโดยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น 1.63% และกลุ่มการเงินที่ขยับขึ้น 1.25% ขณะที่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยลดลงเล็กน้อยที่ 0.18%
ด้านโกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับเพิ่มความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้เป็น 35% จากเดิม 20% พร้อมหั่นเป้าหมายดัชนี S&P500 สิ้นปีลงเหลือ 5,700 จุด และคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2568 เพื่อพยุงเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่เคยหนุนตลาดในช่วงปี 2566-2567 กลับกลายเป็นแรงฉุดในไตรมาสแรกปีนี้ โดยหุ้น Tesla ดิ่งลงเกือบ 36% และหุ้น Nvidia ร่วงเกือบ 20% ขณะที่หุ้นกลุ่มเภสัชกรรมและชีววิทยาศาสตร์ปรับตัวลงแรงเช่นกัน หลังมีรายงานการลาออกของเจ้าหน้าที่ระดับสูงจาก FDA
ด้านนักลงทุนยังจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในวันที่ 4 เมษายนนี้ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ อาทิ ดัชนี ISM ภาคการผลิต-บริการ, ตัวเลข JOLTS, การจ้างงานภาคเอกชน และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของเฟดในระยะถัดไป