“อินโดนีเซีย” ตั้งรับภาษีสหรัฐฯ 32% เตรียมเปิดโต๊ะเจรจาหาทางออก

อินโดนีเซียเตรียมเจรจากับสหรัฐฯ หลังโดนเรียกเก็บภาษี 32% กระทบภาคธุรกิจหลัก เช่น อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า พร้อมแผนเสริมสร้างการค้ากับยุโรปเพื่อทดแทนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และจีน


ผู้สื่อข่าวรายงาน (7 เม.ย.68) ว่า แอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ได้แถลงในวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ว่า อินโดนีเซียจะใช้แนวทางการทูตและการเจรจาเพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศการเก็บภาษีศุลกากรทั่วโลกเมื่อวันพุธที่ 2 เมษายน และกำหนดอัตราภาษี 32% สำหรับสินค้าจากอินโดนีเซีย

รัฐมนตรีฮาร์ตาร์โตกล่าวว่า “แนวทางที่ดำเนินการจะคำนึงถึงผลประโยชน์ในระยะยาวของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ และจะมุ่งรักษาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ” พร้อมทั้งระบุว่า อินโดนีเซียจะให้การสนับสนุนภาคธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว เช่น ภาคอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า

ภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดให้กับอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในหกประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ถูกเก็บภาษีสูง จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพุธที่ 9 เมษายนนี้

นอกจากนี้ รัฐมนตรีฮาร์ตาร์โตได้กล่าวว่า รัฐบาลอินโดนีเซียจะรวบรวมข้อมูลจากภาคธุรกิจในวันที่ 7 เมษายน เพื่อใช้ในการกำหนดกลยุทธ์รับมือกับผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐ และจะมองหาวิธีเพิ่มการค้ากับประเทศในยุโรปเป็นทางเลือกในการทดแทนตลาดสหรัฐและจีน

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา อินโดนีเซียมีการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ มูลค่า 16,800 ล้านดอลลาร์ โดยสหรัฐฯ เป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอินโดนีเซีย ด้วยมูลค่าการส่งออกในปี 2567 รวมทั้งสิ้น 26,300 ล้านดอลลาร์ ข้อมูลจากรัฐบาลอินโดนีเซียระบุ สินค้า

Back to top button