
“กรภัทร” มอง SET รีบาวด์ พร้อมแนะลงทุน 10 หุ้นเด่น ชูพื้นฐานแกร่ง
นายกรภัทร วรเชษฐ์ มอง SET รีบาวด์ รับแรงหนุนทรัมป์ชะลอภาษี โดยมีแนวต้าน 1,150-1,170 จุด และแนวรับ 1,100-1,085 จุด พร้อมกลยุทธ์แนะนำลงทุน 10 หุ้นเด่น ได้แก่ CPALL-HMPRO-MINT-BDMS-BH-GULF- GPSC-KBANK-BBL-AOT
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันที่ 10 เมษายน 2568 ว่า ดัชนี SET Index น่าจะรีบาวด์ขึ้นได้ หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ชะลอเก็บภาษี 90 วัน โดยมีแนวต้านอยู่ที่ระดับ 1,150-1,170 จุด ขณะที่แนวรับอยู่ที่ระดับ 1,100-1,085 จุด
ทั้งนี้ ในระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากการเร่งส่งออกและการนำเข้าของประเทศต่าง ๆ เพื่อรับผลกระทบจากภาษีที่อาจจะยังคงมีผลในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการค้าระหว่างประเทศ เช่น กลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่มส่งออก, กลุ่มขนส่ง, และ กลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นในระยะสั้น
กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนใน Reopening Trade ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่มส่งออก, กลุ่มขนส่ง, กลุ่มพลังงาน, และ กลุ่ม Oil & Gas (OR) ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะสั้น โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะเห็นการเร่งส่งออกและนำเข้าของประเทศต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษี ส่งผลให้ภาคการผลิตทั่กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนระยะสั้น:
ส่วนควรเน้นการลงทุนในหุ้นที่ลงแรงและเริ่มคลายความกังวลจากปัจจัยเกี่ยวกับ Global Trade โดยเฉพาะหุ้นที่มีลักษณะ High Beta และ หุ้นนำดัชนี ที่มี RSI ต่ำ ซึ่งมักจะมีโอกาสดีดตัวขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อตลาดฟื้นตัว ตัวอย่างหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA, GPSC, บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP, AOT, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA, และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA
นอกจากนี้ กลุ่มเดินเรือ เช่น บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือ RCL, บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA, และบริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL รวมถึง กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เช่น AI และ ITC ก็มีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้นได้เช่นกันในช่วงที่ตลาดกลับมาเติบโต
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว (1-3 เดือน) เน้นหุ้นที่มี “earning resilience” หรือความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง, Business Model ที่ดี และราคาที่สมเหตุสมผล 10 หุ้นหลักสำหรับ “Core Portfolio” ได้แก่
ค้าปลีก ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO
Healthcare ได้แก่ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH
โรงไฟฟ้า ได้แก่ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC
ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL
ท่าอากาศยาน ได้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT
สำหรับกลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการเลือกหุ้นจากบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนและสามารถทำกำไรในระยะยาวได้ แม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น การเลือกหุ้นที่มีราคาที่สมเหตุสมผลจะช่วยให้การลงทุนนี้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงยาว
หากตลาดหลักทรัพย์ยังคงมาตรการห้าม Short Selling ต่อเนื่อง อาจทำให้ตลาดเด้งตัวแบบ V-shape เหมือนช่วงโควิด-19 ในกรอบเวลา 1 เดือน
ส่วนการระงับกำแพงภาษีชั่วคราวเป็นระยะเวลา 90 วันทำให้จำเป็นต้องมีการประเมิน GDP ใหม่ โดยในช่วง 3 เดือนข้างหน้า คาดว่าจะเห็นการเร่งตัวของการส่งออกคล้ายกับช่วง 3 เดือนแรกของปี ซึ่งอาจส่งผลให้ GDP ในครึ่งปีแรกมีการขยายตัวในระดับที่ดี อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังยังคงต้องติดตามผลกระทบและการบริหารจัดการของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด แม้ว่าการเติบโตของ GDP จะไม่น่าจะต่ำถึง 1% แต่จะมีความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเพียงใด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ
นอกจากนี้ยังมีมุมมองต่อหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวลงก่อนหน้านี้จากความกังวลเรื่องดอกเบี้ยและภาวะ Risk Off มีแนวโน้มที่จะกลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้อีกครั้ง และอาจสามารถทำผลตอบแทนที่ดีกว่าในช่วงก่อนการจ่ายปันผล นอกจากนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง เช่น การเพิ่มเพดานหนี้ จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนกลุ่มธนาคารในระยะต่อไป