เปิด 42 บจ. “ซื้อหุ้นคืน” ไตรมาส 1 เม็ดเงินทะลัก 8 พันล้าน

“ตลาดหุ้นไทย” ไตรมาส 1 ร่วงกว่า 17% พบ 42 บริษัทจดทะเบียน “ซื้อหุ้นคืน” เม็ดเงินรวมกว่า 8 พันล้าน "PTT-TU-SNNP-TTB-TOA" ติดโผท็อป 5 มูลค่าสูงสุด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จากระดับ 1,400.21 จุด เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2567 มาปิด ณ สิ้นไตรมาส 1 (31 มีนาคม 2568) ที่ระดับ 1,158.09 จุด คิดเป็นการปรับตัวลดลงมา 242.12 จุด หรือ 17.29% ส่งผลให้มีหลายบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock)

ทั้งนี้ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมบริษัทจดทะเบียนที่มีการซื้อหุ้นคืนในช่วงไตรมาส 1/2568 พบว่ามีทั้งสิ้น 42 หลักทรัพย์ มูลค่ารวมกว่า 8 พันล้าน ประกอบด้วย PTT, TU, SNNP, TTB, TOA, DRT, PRM, KKP, SSP, TKN, SUSCO, EKH, PSL, PJW, CK, LPN, K, MOJAR, RPH, SONIC, BM, SEAFCO, TQM, III, DCC, SNP, HUMAN, ACE, TRP, FVC, KBS, SMT, DDD, PIMO, SORKON, MGC, KIAT, ASEFA, ITEL, SYNTEC, MOONG และ SNC

โดย 5 อันดับแรกของบริษัทที่มีมูลค่าในการซื้อหุ้นคืนสูงสุด ประกอบด้วย

1.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงิน กำหนดวงเงินสูงสุดไม่เกิน 16,000 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 470,000,000 หุ้น คิดเป็นประมาณ 1.65% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยใช้ระบบจับคู่อัตโนมัติ (Automatic Order Matching) ภายในระยะเวลา 6 เดือน ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม ถึง 23 กันยายน 2568

โดยในช่วงไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านมา บริษัทซื้อหุ้นคืนไปแล้ว 79,200,000 หุ้น หรือคิดเป็นมูลค่า 2,554.55 ล้านบาท

2.​บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงิน และมีการเพิ่มวงเงินโครงการเป็นสูงสุดไม่เกิน 5,000 ล้านบาท และเพิ่มจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนเป็นไม่เกิน 445 หุ้น คิดเป็นประมาณ 9.99% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้ว โดยมีระยะเวลาดำเนินการระหว่างวันที่ 2 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2568

โดยในช่วงไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านมา บริษัทซื้อหุ้นคืนไปแล้ว 150 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่า 1,782.17 ล้านบาท

3.บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงิน วงเงินไม่เกิน 200 ล้านบาท โดยจะซื้อหุ้นคืนจำนวนไม่เกิน 20,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นประมาณ 2.22% ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมด กำหนดระยะเวลาในการดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 20 กันยายน 2568

โดยในช่วงไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านมา บริษัทซื้อหุ้นคืนไปแล้ว 50.84 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่า 617.58 ล้านบาท

4.ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน โดยมีจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 8,000 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 9.15% ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมด มูลค่ารวมไม่เกิน 10,000 ล้านบาท กำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2568

โดยในช่วงไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านมา บริษัทซื้อหุ้นคืนไปแล้ว 45.56 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่า 576.01 ล้านบาท

5.บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน โดยกำหนดวงเงินสูงสุดไม่เกิน 1,500 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 40 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นประมาณ 2% ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 6 กันยายน 2568

โดยในช่วงไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านมา บริษัทซื้อหุ้นคืนไปแล้ว 3.08 แสนหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่า 600.07 ล้านบาท

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกระแสการออกโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้ใช้ช่วงเวลานี้ในการบริหารเงินทุนของตนเอง หากมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง ทำให้ปี 2568 มีแนวโน้มที่จะเห็นการซื้อหุ้นคืนเพิ่มขึ้นจากระดับปกติ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าสูงกว่า 40,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญคือการคัดกรองว่า บจ.รายใดมีศักยภาพในการประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนต่อไปในลำดับถัดไป

ทั้งนี้ บัวหลวง ได้คัดเลือกหุ้นที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ (Coverage) ซึ่งผ่านเกณฑ์ 6 ข้อ ได้แก่ 1) ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี (YTD) ปรับตัวลงมากกว่า 5% (รวมถึงบางบริษัทที่ราคาลดลงต่อเนื่องจากปีก่อน), 2) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Net Gearing) ไม่เกิน 1 เท่า, 3) อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) มากกว่า 1 เท่า, 4) อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ต่ำกว่า 1 เท่า หรืออัตราส่วนราคาต่อกำไร (PER) ไม่เกิน 20 เท่าในกรณีที่เป็นหุ้นมูลค่าสูง, 5) มีกระแสเงินสดที่สามารถรองรับวงเงินซื้อหุ้นคืนในระดับ 4% ของทุนจดทะเบียน (สูงสุดไม่เกิน 10%), และ 6) มีเงินสดเพียงพอสำหรับชำระหนี้ระยะสั้น ณ สิ้นปี

สำหรับผลการคัดกรองพบว่ามีหุ้นที่เข้าเกณฑ์ทั้ง 6 ข้อจำนวน 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA, บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR, บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC

ขณะที่ นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า การที่บริษัทดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนในช่วงตลาดหุ้นอ่อนตัว อาจช่วยพยุงราคาหุ้นไม่ให้ปรับลงมากเกินไป และเมื่อถึงจังหวะที่ตลาดฟื้นตัว หุ้นที่อยู่ในช่วงดำเนินการซื้อคืนจะมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วกว่าตลาดโดยรวม จึงถือเป็นโอกาสสำหรับการทยอยสะสมลงทุนในระยะนี้

Back to top button