“เฟดนิวยอร์ก” คาดเงินเฟ้อพุ่ง 3.6% นิวไฮรอบ 6 เดือน กังวลเศรษฐกิจชะลอตัว

เฟดนิวยอร์กเผย ชาวอเมริกันคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในระยะ 1 ปีจะพุ่งเป็น 3.6% สูงสุดในรอบ 6 เดือน ท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัวและการเพิ่มภาษีของทรัมป์ ขณะที่เฟดย้ำต้องรักษาเสถียรภาพระยะยาว


ผู้สื่อข่าวรายงาน (15 เม.ย.68) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขานิวยอร์กเปิดเผยว่า ชาวอเมริกันคาดการณ์ในเดือนมี.ค.ว่า เงินเฟ้อในระยะ 1 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.6% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2566 โดยเพิ่มขึ้นจาก 3.1% ที่เคยคาดไว้ในเดือนก.พ.

โดยการคาดการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลด้านเศรษฐกิจ โดยชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่า ราคาอาหารและค่าเช่าบ้านจะเพิ่มเร็วขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันและราคาบ้านจะปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย

ส่วนเงินเฟ้อในระยะ 3 ปีข้างหน้ายังคงอยู่ที่ 3% และในระยะ 5 ปีข้างหน้าคาดว่าจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 2.9%

แม้แนวโน้มเงินเฟ้อระยะยาวจะยังอยู่ในระดับทรงตัว แต่แบบสำรวจยังพบว่า ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของผู้บริโภคลดลง หลายคนมองว่ารายได้ในอนาคตจะโตช้าลง ขณะที่ความกังวลเรื่องการว่างงานเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2563

สถานการณ์นี้สะท้อนว่าเศรษฐกิจอเมริกากำลังชะลอตัว และยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังเดินหน้าใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสูงสุดในรอบหลายสิบปี ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนสินค้าและแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีก

แม้ข้อมูลของเฟดนิวยอร์กระบุว่า การคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่แบบสำรวจจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนกลับพบว่า คนอเมริกันคาดว่าเงินเฟ้อในอีก 5 ปีข้างหน้าอาจสูงสุดในรอบกว่า 30 ปีนับตั้งแต่ปี 2534

เจ้าหน้าที่เฟดจึงออกมาเน้นย้ำว่า ต้องรักษาความเชื่อมั่นเรื่องเงินเฟ้อระยะยาวให้มั่นคง เพราะหากประชาชนไม่เชื่อว่าเงินเฟ้อจะกลับลงมาอยู่ที่เป้าหมาย 2% ได้จริง ก็จะยิ่งทำให้การควบคุมเงินเฟ้อเป็นเรื่องยากขึ้น

จอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดนิวยอร์กกล่าวว่า แม้การคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะสั้นเพิ่มขึ้น แต่เงินเฟ้อระยะยาวยังมีเสถียรภาพ และนี่คือสิ่งที่เฟดต้องรักษาไว้ให้ได้

ขณะที่ออสตัน กูลส์บี ประธานเฟดชิคาโกเสริมว่า ถ้าคนเริ่มไม่เชื่อว่าเงินเฟ้อจะกลับไปที่ 2% ในระยะยาวได้ นั่นคือปัญหาใหญ่

ตอนนี้เฟดต้องเผชิญกับความท้าทายสองด้านทั้งแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังสูง และสัญญาณเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้เฟดยังไม่เร่งตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ย แต่หากการคาดการณ์เรื่องเงินเฟ้อระยะยาวแย่ลงอีก ก็อาจทำให้เฟดต้อง กลับมาปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง

นอกจากนี้ แบบสำรวจยังพบว่า คนอเมริกันขอสินเชื่อได้ยากขึ้น และมีจำนวนคนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่รู้สึกว่าสถานะการเงินของตัวเองแย่ลง ขณะที่ความเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นนั้นได้ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางปี 2565

Back to top button