
เปิดรายชื่อ “หุ้นกู้” ครบกำหนดไถ่ถอนปี 68 รอคิวเพียบ 333 รุ่น มูลค่ารวม 5.03 แสนล้านบาท
เปิดโผหุ้นกู้ครบกำหนดไถ่ถอนปี 68 ทะลัก 333 รุ่น มูลค่า 5.03 แสนล้านบาท จับตาความสามารถไถ่ถอนและรีไฟแนนซ์ หวั่นบางรายเผชิญความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะการประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการค้าระหว่างประเทศในวงกว้างนั้น ได้สร้างแรงกดดันต่อภาคธุรกิจและการลงทุนทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
โดยมาตรการดังกล่าวครอบคลุมสินค้านำเข้าหลายรายการจากประเทศคู่ค้าหลัก อาทิ จีน ยุโรป และประเทศในเอเชีย ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน หลายประเทศมีการตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีเช่นเดียวกัน จนนำไปสู่สภาวะ “สงครามการค้า” ที่อาจยืดเยื้อ
สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และทำให้ภาคเอกชนต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ทั้งในด้านการจัดหาแหล่งวัตถุดิบ การปรับโครงสร้างราคา รวมถึงการพิจารณาแหล่งผลิตใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การติดตามท่าทีและนโยบายทางการค้าระหว่างประเทศยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่นักวิเคราะห์และผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญอย่างใกล้ชิดในระยะถัดไป
ดังนั้นในช่วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับที่มีความผันผวน นักลงทุนและผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุนกำลังให้ความสนใจต่อสถานการณ์ของหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ทยอยครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2568 ซึ่งมีจำนวนมากและอาจก่อให้เกิดแรงกดดันต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทที่มีภาระหนี้ระยะสั้นและจำเป็นต้องระดมทุนเพื่อนำไปชำระคืน
ทั้งนี้ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้รวบรวมข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (Thai BMA) นับตั้งแต่วันที่ 23 เมษายนเป็นต้นไป จนถึงสิ้นปี 2568 พบว่า มีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนรวมทั้งสิ้น 333 รุ่น คิดเป็นมูลค่ารวม 503,078.60 ล้านบาท ซึ่งการทยอยครบกำหนดไถ่ถอนในช่วงเวลาเดียวกันนี้อาจส่งผลให้เกิดภาวะตึงตัวด้านสภาพคล่องในระบบ โดยเฉพาะหากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ไม่สามารถออกหุ้นกู้ใหม่หรือหาแหล่งเงินทุนทดแทนได้ทัน
ความกังวลดังกล่าวยิ่งทวีความสำคัญในกรณีของบริษัทที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ หรือบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และกระทบต่อความสามารถในการระดมทุนเพื่อชำระคืนหุ้นกู้เดิม หรือหวั่นบางรายเผชิญความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้
ยกตัวอย่างเช่น หุ้นกู้ของบริษัทเอกชนบางแห่งที่กำลังจะครบกำหนดไถ่ถอนตั้งแต่เดือนเมษายนนับตั้งแต่วันที่ 23 เมษายนเป็นต้นไป จนถึงสิ้นปี 2568 มีรายละเอียดดังนี้ หุ้นกู้ LH254A มูลค่า 4,700 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.26% ได้รับการจัดอันดับ “A” จากบริษัทจัดอันดับเครดิตแห่งหนึ่ง ออกเมื่อเดือนเมษายน 2565 และมีกำหนดไถ่ถอนในเดือน 24 เมษายน 2568 และหุ้นกู้ LH254B มูลค่า 1,600 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3% ได้รับการจัดอันดับ “A” จากบริษัทจัดอันดับเครดิตแห่งหนึ่ง ออกเมื่อเดือนตุลาคม 2565 และมีกำหนดไถ่ถอนในเดือน 24 เมษายน 2568
หุ้นกู้ GRAND254A มูลค่า 881.40 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 7% ได้รับการจัดอันดับ “B” ออกเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2566 มีกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 27 เมษายน 2568
หุ้นกู้ PF255A มูลค่า 1,358.30 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 6.85% ได้รับการจัดอันดับ “BB” ออกเมื่อวันที่ 10พฤศจิกายน 2565 มีกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 10 พฤษภาคม 2568
หุ้นกู้ MJD255A มูลค่า 1,164.30 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 6.95% ได้รับการจัดอันดับ “BB” ออกเมื่อวันที่ 11พฤศจิกายน 2565 มีกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568
หุ้นกู้ MQDC255A มูลค่า 3,232.30 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 7.10% ออกเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2565 มีกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 25 พฤษภาคม 2568
หุ้นกู้ ECF256A มูลค่า 240.50 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 7.30% ได้รับการจัดอันดับ “B-” ออกเมื่อวันที่ 9มิถุนายน 2565 มีกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 9 มิถุนายน 2568
หุ้นกู้ CHO229A มูลค่า 60.35 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 7% ออกเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563 มีกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 15 มิถุนายน 2568
หุ้นกู้ MK256A มูลค่า 700 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 6% ได้รับการจัดอันดับ “BB-” ออกเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2565 มีกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 16 มิถุนายน 2568
หุ้นกู้ GRAND256A มูลค่า 300 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 7.15% ได้รับการจัดอันดับ “B” ออกเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 มีกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 22 มิถุนายน 2568
“ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของหุ้นกู้ที่มีกำหนดครบอายุไถ่ถอนในระยะอันใกล้นี้ สำหรับรายการหุ้นกู้อื่น ๆ สามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้จากตารางประกอบข่าว”
อย่างไรก็ตาม บริษัทผู้ออกหุ้นกู้กลุ่มนี้หากไม่สามารถจัดหาแหล่งเงินใหม่ได้ทันเวลา อาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงิน และในกรณีรุนแรงอาจกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ทำให้เกิดความล่าช้าในแผนการลงทุนหรือโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน
นักวิเคราะห์หลายรายชี้ว่า ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนในปีนี้มีความเปราะบางต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากกว่าช่วงก่อนหน้า การประเมินความเสี่ยงจากอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ออก และสภาพคล่องโดยรวมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ลงทุนควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ ภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประสานการทำงานกับผู้ประกอบการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ซึ่งอาจลุกลามไปสู่ระบบเศรษฐกิจโดยรวม