“ฟินันเซีย” ชู BTG ท็อปพิก จับตากำไรปี 68 โตแกร่ง 62% รับราคาสุกรพุ่ง

FSSIA ปรับเพิ่มประมาณการกำไรกลุ่มเนื้อสัตว์ปี 68 ขึ้น 45% หลังราคาสุกรฟื้นตัวแรง หนุน BTG, TFG, CPF โดดเด่น ยก BTG ท็อปพิก ลุ้นกำไรโต 62% แกร่งสุดในกลุ่ม


บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด หรือ FSS เปิดเผยบทวิเคราะห์ล่าสุด ระบุว่า ราคาสุกรในไทยและเวียดนามตั้งแต่ต้นปี 2568 ฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด โดยราคาสุกรเฉลี่ยในไทยอยู่ที่ 80–82 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อน ส่วนเวียดนามอยู่ที่ 65,000 ดอง/กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัญหาอุปทานตึงตัวที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดและน้ำท่วมในไตรมาส 4 ปี 2567

ขณะที่ราคาเนื้อไก่ไทยยังคงทรงตัวที่ 40 บาท/กิโลกรัม ส่วนราคาสุกรในจีนกลับอ่อนตัวลงกว่าที่คาด ส่งผลให้มีการปรับเพิ่มสมมติฐานราคาสุกรในไทยขึ้น 7% และปรับลดราคาสุกรในจีนลง 3%

ทั้งนี้ แม้ต้นทุนวัตถุดิบยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ฝ่ายวิจัยปรับลดสมมติฐานราคากากถั่วเหลืองลง 18% และปรับเพิ่มราคาข้าวโพดขึ้น 5% ส่งผลให้มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิของภาคธุรกิจเนื้อสัตว์ในปี 2568 ขึ้น 45% คิดเป็นการเติบโต 16% เมื่อเทียบกับปีก่อน นำโดยบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG ที่คาดว่ากำไรจะเติบโต 62% ตามด้วย บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG ที่ 33% และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ที่ 12% ขณะที่ประมาณการของบริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT ยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยคาดว่ากำไรจะลดลง 24% เนื่องจากราคาสุกรเป็นตัวขับเคลื่อนหลักมากกว่าราคาเนื้อไก่

FSSIA ระบุเพิ่มว่า การเพิ่มภาษีของสหรัฐฯ ไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจเนื้อสัตว์ของไทย เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่ใช่ทั้งคู่ค้าและคู่แข่งโดยตรง อย่างไรก็ตาม การเจรจาการค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ อาจมีประเด็นการนำเข้าสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพดและกากถั่วเหลือง ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้เลี้ยงสัตว์ แต่หากมีการนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อราคาหมูในประเทศ ทั้งนี้ ความเป็นไปได้ดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากเนื้อหมูจากสหรัฐฯ มีการใช้สารแร็กโตพามีนซึ่งผิดกฎหมายในไทย และยังถูกคัดค้านจากเกษตรกรภายในประเทศ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2568 รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจไม่นำเข้าเนื้อหมูหรือเครื่องในสัตว์

สำหรับหุ้นในกลุ่มธุรกิจเนื้อสัตว์ FSSIA แนะนำ “ซื้อ” BTG, TFG, CPF และ GFPT โดยเลือก BTG เป็นหุ้นเด่นที่สุดในกลุ่ม (Top Pick) จากปัจจัยสนับสนุน 5 ประการ ได้แก่ 1) การเติบโตของกำไรที่คาดว่าจะสูงที่สุดในปี 2568 2) ฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง 3) ได้รับคัดเลือกเข้า SET ESG Index ด้วยอันดับ AAA เป็นครั้งแรก 4) ผลตอบแทนในอดีตต่ำกว่าหุ้นกลุ่มเดียวกัน และ 5) มูลค่าที่น่าสนใจ โดย BTG ซื้อขายอยู่ที่ P/E เพียง 9.3 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต

อนึ่ง CPF, BTG และ TFG มีรายได้จากสุกรไทยคิดเป็นประมาณ 17% ของรายได้รวม โดยหากราคาสุกรไทยลดลง 10% จะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของบริษัทต่าง ๆ ประมาณ 5%

Back to top button