
CGSI มอง SET แกว่งตัว 1,130-1,150 จุด แนะลงทุน BBL-GPSC เด่น
CGSI มอง SET วันนี้แกว่งตัว 1,130-1,150 จุด แนะลงทุน BBL-GPSC เด่น พร้อมจับตารัฐบาลไทยเตรียมเดินทางไปเจรจาภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐ วันที่ 23 เม.ย. นี้
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (18 เม.ย.68) คาดการณ์ SET Index จะยังคงแกว่งตัวในกรอบ 1,130-1,150 จุด โดยฝ่ายนักวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกหลังเห็นเงินบาทที่แข็งค่าจากเงินลงทุนต่างชาติ Fund Flow ที่ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยหลังสงครามการค้า รวมถึงงบไตรมาส 1/68 ของกลุ่มธนาคารที่ออกมาแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ดีความเห็นของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่สร้างความกังวลว่าอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ ขณะที่เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่า เป็น Upside ที่จำกัด และตลาดยังคงรอติดตามรายละเอียดภาษีสินค้านำเข้าหลังรัฐบาลไทยเตรียมเดินทางไปเจรจากับสหรัฐ 23 เม.ย. นี้
แม้ฝ่ายนักวิเคราะห์จะมีมุมมองเชิงบวกต่อการที่ไทยเตรียมเสนอซื้อ LNG-อีเทน และสินค้าเกษตรเพิ่มจากสหรัฐ แต่เรามองว่ามูลค่ายังค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับที่ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ เราจึงเชื่อว่ารัฐบาลอาจต้องเสนอนำเข้าสินค้าอื่นเพิ่ม เช่น เนื้อวัว, ข้าวโพดและถั่วเหลือง อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะเปิดให้มีการนำเข้าเนื้อหมูและสัตว์ปีก เพื่อปกป้องผลประโยชน์เกษตรกรในประเทศ นอกจากนี้ เรามองว่าการเจรจาในรอบแรกน่าจะยังไม่มีความคืบหน้ามากนักเช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่ได้มีการเข้าหารือกับสหรัฐเป็นกลุ่มแรกเมื่อวานนี้ (17 เม.ย.)
ขณะที่การเรียกเก็บภาษีของทรัมป์ได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงไทย ส่งผลให้ธปท. เปิดเผยว่า GDP ไทยปี 68 ต่ำกว่าระดับเป้าหมายที่ 2.5% (เราคาด 1.5% จากปีก่อน) โดยจะมีการพิจารณาตัวเลข GDP ใหม่ในการประชุมกนง. 30 เม.ย. นี้ ที่ฝ่ายนักวิเคราะห์เชื่อว่าจะมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่อ่อนตัวตั้งแต่ปี 67 กอปรกับผลกระทบจากแผ่นดินไหว
ส่วนวันนี้ ติดตามรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/68 ของ TTB ช่วงเที่ยง และ KTB ช่วงหลังตลาดปิดทำการ ที่คาดว่า TTB จะรายงานกำไรสุทธิ ลดลง 22.6% จากปีก่อน, และลดลง 19.2% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ KTB ซึ่งเป็น Top pick ในกลุ่มนี้ของฝ่ายนักวิเคราะห์จะรายงานกำไรสุทธิ ลดลง 1.3% จากปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 4.4% จากไตรมาสก่อน หลังเมื่อวานนี้ TISCO รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 1.64 พันล้านบาท ลดลง 5.2% จากปีก่อน ลดลง 3.4% จากไตรมาสก่อน สูงกว่าที่ฝ่ายนักวิเคราะห์และตลาดคาดจาก credit cost ที่ต่ำกว่าประมาณการ
ขณะที่กำไรก่อนตั้งสำรอง (PPOP) ทรงตัวจากการเติบโตของสินเชื่อที่ยังอ่อนตัว ส่งผลให้ NIM ลดลง นอกจากนี้ NPL ยังเพิ่มขึ้นจากลูกหนี้บางรายในโครงการคุณสู้เราช่วยที่ลงทะเบียนผิดเงื่อนไขแล้วหยุดชำระ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารมองว่าเป็นกรณีเฉพาะ และ ยังยืนยันการจ่ายเงินปันผล 80%
ขณะที่กลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายนักวิเคราะห์แนะนำหุ้น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 1/68 หลังรายงานงบดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และ Fund Flow ไหลเข้าจากเงินบาทที่แข็งค่า
(Take profit : 148.5 / Stop loss : 145.5)
บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าจะได้ประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าต้นทุน pool gas จะลดลงในไตรมาส 2-3 ซึ่งน่าจะทำให้ธุรกิจ SPP ของ GPSC มีกำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้ง บริษัท AEPL น่าจะทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในปี 70 เมื่อกำลังการผลิตไฟฟ้า (committed capacity) เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการเงิน
(Take profit : 30.75 / Stop loss : 27.00)