
เปิด 10 หุ้นต่างชาติซื้อกลับ! “บัวหลวง” ฟันธง SET ผ่านจุดต่ำสุด
“หลักทรัพย์บัวหลวง” ฟันธง! หุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว จับตาอยู่ระหว่าง “สร้างฐาน” เพื่อรอปัจจัยบวกเข้ามาหนุน ด้าน “เอเซีย พลัส” เปิด 10 หุ้นที่ต่างชาติย่องเข้ามาซื้อช่วงฝุ่นตลบ นำโดย CPF, PTTGC, CPALL, STA, DELTA, TTB, TIDLOR, CRC, MINT และ BGRIM
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (17 เม.ย.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดที่ 1,141.28 จุด เพิ่มขึ้น 2.38 จุด เปลี่ยนแปลง +0.21% มูลค่าการซื้อขาย 29,646 ล้านบาท ระหว่างวันดัชนีขึ้นมาสูงสุดที่ 1,145.196 จุด (+6.29 จุด) และต่ำสุด 1,133.90 จุด (-5.00 จุด)
ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ระบุว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแนวโน้ม “ผ่านจุดต่ำสุด” หรืออย่างน้อย “ใกล้เคียงกับจุดต่ำสุด” ไปแล้ว และประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ในช่วงของการ “สร้างฐาน” บริเวณดัชนี 1,050-1,160 จุด โดยภาวะ Market Timing ในปัจจุบัน “ไม่เหมาะ” ต่อการขายหุ้นในพอร์ตเพื่อตัดขาดทุน เนื่องจากดัชนีฯ ได้ปรับตัวลงมาแรงและสะท้อนปัจจัยลบไปเป็นวงกว้างแล้ว
ทั้งนี้ พิจารณาได้จาก P/BV Deviation Breadth ที่ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ขณะนี้ตลาดจึงอยู่ในช่วงรอแรงหนุนใหม่ที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวอาจเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 2/2568 โดยเฉพาะหากการเจรจาการค้าระหว่างหลายประเทศกับสหรัฐฯ เริ่มมีความคืบหน้าและได้ข้อสรุปเชิงบวก
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ บล.บัวหลวง แนะนำ
1.เก็งกาไรหุ้นงบฯ ไตรมาส 1/2568 เด่น เช่น CPF TFG CPALL BDMS PR9 ADVANC,
2.ธีมเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ชดเชยผลกระทบจีดีพีจากการส่งออก คือ STECON และ CK,
3.เล่นเก็งกำไรการลดดอกเบี้ย เช่น ไฟแนนซ์ MTC TIDLOR,
4.กลุ่มหลัก ที่ใช้สะสมแบบ DCA เน้นเลือกที่แนวโน้มกำไรยังแกร่ง (จากผลกระทบสงครามการค้าและเศรษฐกิจโลก) และเป็นหุ้น Defensive ได้แก่ ค้าปลีก CPALL BJC โรงพยาบาล BDMS BCH โรงไฟฟ้า GULF และไอซีที ADVANC TRUE
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เผยว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ให้เก็งกำไรหุ้นพื้นฐานดีที่มีเม็ดเงินต่างชาติซื้อหนุนต่อเนื่องตั้งแต่วันที่มีประเด็นประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ของสหรัฐฯ ตอบโต้ภาษีช่วงวันที่ 9–16 เม.ย. 2568 ได้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA, บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA, ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB,
บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR, บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM
โดยนักลงทุนมีการกระจายเงินลงทุนออกจากสหรัฐฯ มาในตลาดการเงินภูมิภาค รวมถึงตลาดการเงินไทยมากขึ้นสะท้อนได้จากวันที่ “ทรัมป์” ประกาศตอบโต้ภาษี 185 ประเทศถึงปัจจุบัน (9–16 เม.ย.) กลับมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทย 3 ใน 4 วันทำการสูงถึง 1.46 หมื่นล้านบาท โดยเข้าตลาดหุ้น 3 ใน 4 วันทำการ 883 ล้านบาท และเข้าตลาด TFEX 3 ใน 4 วันทำการ จำนวน 30,854 สัญญา
ขณะที่หลายประเทศเริ่มทยอยเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อหาวิธีผ่อนปรนภาษีนำเข้า ซึ่งล่าสุด “ทรัมป์” ได้พบกับคณะผู้แทนจากญี่ปุ่น ซึ่งมีแนวโน้มการเจรจาในโทนบวก โดยญี่ปุ่นกำลังพยายามเจรจาขอลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ
ส่วนประเทศไทยล่าสุด มีแผนเตรียมแผนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ เพิ่มเติมอีก 1 ล้านตันภายในระยะเวลา 5 ปี มูลค่าราว 600 ล้านเหรียญ และเตรียมเดินทางไปสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้