CGSI มองกรอบ SET วันนี้ 1,105–1,150 จุด ชู BDMS-CPALL เด่น

“ซีจีเอส อินเตอร์ เนชั่นแนล” มองกรอบ SET วันนี้ที่ระดับ 1,105–1,150 จุด พร้อมชู 2 หุ้นเด่น BDMS และ CPALL แนวโน้มผลประกอบการเติบโต


บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์ เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI คาดการณ์ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) จะยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และกระแสข่าวเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะปลดประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งผลให้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index อยู่ที่ระดับ 1,105–1,150 จุด

ทั้งนี้ แม้ตลาดหุ้นไทยจะ Underperform เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน และยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน แต่ CGSI มองว่ายังมีปัจจัยกดดันในระยะสั้นถึงกลางที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ด้านปัจจัยในประเทศยังมีพัฒนาการสำคัญที่ส่งผลต่อภาพรวมตลาด ได้แก่ (1) การเลื่อนกำหนดการเจรจาภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ ที่เดิมคาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 23 เมษายน 2568 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพื่อรอการตอบรับจากฝั่งสหรัฐฯ และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) (2) สถานการณ์ความตึงเครียดที่รุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะการประกาศเตือนประเทศต่างๆ ที่มีแผนเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาด และ (3) ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย

โดยล่าสุด พรรคภูมิใจไทยประกาศไม่สนับสนุนร่างกฎหมายศูนย์รวมความบันเทิง (Entertainment Complex) ที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทย ด้วยเหตุผลว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับปัญหาเร่งด่วน เช่นเหตุการณ์ตึกถล่มของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้แนวโน้มการผลักดันนโยบายภาครัฐในระยะนี้มีความไม่แน่นอนสูง

ขณะที่ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารที่ CGSI ศึกษา ซึ่งรวมถึง SCB, KBANK, KTB, BBL, TTB, TISCO, KKP และ CREDIT พบว่ามีกำไรสุทธิรวมในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 59,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 11.3% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่รายงานผลกำไรสูงกว่าที่บริษัทและตลาดคาดการณ์ไว้ ยกเว้น KKP, CREDIT และ TTB

อย่างไรก็ดี ภาพรวมสินเชื่อยังชะลอตัวอยู่ที่ -1.2% จากปีก่อน และ -0.6% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ NIM ปรับลดลง 22bps จากปีก่อน และ 19bps จากไตรมาสก่อน ตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบายขาลงในช่วงไตรมาส 4/67 ถึงไตรมาส 1/68 ทั้งนี้ คาดว่าผลประกอบการในไตรมาสถัดไปจะเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น และต้นทุนเครดิตที่เพิ่มขึ้นจากความเสี่ยงของสงครามการค้าโลก

สำหรับหุ้นแนะนำเด่นในช่วงนี้ ได้แก่ BDMS ซึ่งมีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสที่ดีกว่า BH อย่างต่อเนื่อง โดยได้อานิสงส์จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ BH อาจได้รับผลกระทบจากฐานรายได้ที่สูงในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 และการลดลงของกลุ่มลูกค้าชาวคูเวต ระดับราคาที่แนะนำ Take profit อยู่ที่ 25.0 บาท และ Stop loss ที่ 22.8 บาท

อีกหนึ่งหุ้นเด่นคือ CPALL ซึ่งคาดว่าจะมีกำไรปกติแข็งแกร่งในไตรมาส 1/2568 ที่ระดับ 6.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5% จากปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายสินค้าประเภทอาหารพร้อมทานและจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในร้าน 7-Eleven โดยคาดว่าการเติบโตสาขาเดิมจะเพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน แนะนำ Take profit ที่ 51.50 บาท และ Stop loss ที่ 49.00 บาท

Back to top button