
SNPS โบรกชี้กำไร Q1 แตะ 18 ล้านบาท รับรู้รายได้ “API- B Gold” หนุน เคาะซื้อ เป้า 6.60 บ.
"บล.หยวนต้า” ประเมินกำไร SNPS ไตรมาส 1/2568 ที่ 18 ล้าน มองเติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน หนุนจาก API และ B Gold แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.60 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์เกี่ยวกับกรณีของ บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SNPS โดยคาดกำไรในไตรมาส 1/2568 ที่ 18 ล้านบาท (ลดลง 25.8% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 51.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน)
สำหรับการลดลงจากไตรมาสก่อนตาม Seasonal แต่เติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน หนุนจากธุรกิจสารสกัดสมุนไพร (API) ที่เติบโตเด่นจากทั้งลูกค้าเดิมส่วนใหญ่ที่กลับมาออเดอร์สินค้ามากขึ้น หลังจากที่ระดับสต็อกกลับเข้าสู่ระดับปกติแล้วในครึ่งหลังของปี 2567 รวมถึงการเริ่มรับรู้รายได้จากลูกค้ารายใหม่จากประเทศอินโดนีเซียและอินเดีย
นอกจากนี้บริษัทยังมีการรับรู้รายได้จากสาร B Gold เต็มไตรมาส ส่วนลูกค้ากลุ่ม OEM อาจเติบโตเล็กน้อยจากงวดเดียวของปีก่อน เนื่องจากบริษัทยังไม่มีการนำเสนอสินค้าใหม่แก่ลูกค้ามากนัก ขณะที่ในเดือนมีนาคม บริษัทได้เริ่มจำหน่ายสินค้า Colosure ให้แก่ผู้จัดจำหน่ายรายใหม่แล้ว แต่รายได้อาจยังไม่มาก เนื่องจากข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตของบริษัท ขณะที่ GPM คาดลดลงจากไตรมาสก่อนตาม U-rate แต่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนจาก Product Mix ที่ดีขึ้น หนุนจากการเติบโตของธุรกิจ API ที่มีอัตรากำไรสูงกว่าธุรกิจรับจ้างผลิต
ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์ ประเมินว่ากำไรจะสามารถเติบโตได้ทั้งจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ในไตรมาส 2/2568 หนุนจากปกติแล้วรายได้ในไตรมาส 2 จะสูงกว่าไตรมาส 1 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อน ทำให้อุปสงค์สินค้ากลุ่ม Self-care สูงขึ้น ประกอบกับการรับรู้รายได้จากลูกค้าในต่างประเทศ รวมถึงการเริ่มรับรู้รายได้ที่มากขึ้นจากผู้จัดจาหน่ายรายใหม่ (Colosure) หลังจากบริษัทสามารถแก้ไขปัญหาด้านการผลิตได้เรียบร้อยตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษายน 2568 ขณะที่ GPM คาดกลับมาขยายตัวจากไตรมาสก่อน ตาม U-rate ที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงยังขยายตัวต่อเนื่องเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จาก Product Mix ที่ดีต่อเนื่อง
สำหรับเรตินอล (Retinol) เป็นสารที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกลุ่มชะลอวัย (Anti-Aging) และลดปัญหาสิว อย่างไรก็ตามสารดังกล่าวมีข้อจำกัดด้านการก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวในผู้ใช้บางกลุ่ม ที่ในปัจจุบันมีเพียงสารสกัดใหม่จากประเทศเกาหลีที่สามารถแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าวได้ แต่ยังมีราคาขายที่ค่อนข้างสูง (ราว 50,000-70,000 บาท/กก.) ในขณะที่สาร B Gold ของบริษัทมีฤทธิ์คล้ายกับ Retinol แต่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวและมีราคาต่ำกว่าสารสกัดจากเกาหลีอย่างมีนัยสำคัญ จึงมีความได้เปรียบทั้งในด้านประสิทธิภาพและต้นทุน และในไตรมาส 1/2567 ยอดขายของ B Gold ยังอยู่ในช่วงการจำหน่ายเพื่อการทดลองเท่านั้น อย่างไรก็ตามหากลูกค้าสามารถขออนุญาตจากอย.ได้สำเร็จ ก็จะมีโอกาสกลับมาสั่งซื้อสินค้าในปริมาณมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตในระยะยาวของบริษัท (กระบวนการขออนุญาตดังกล่าวมักใช้เวลาพิจารณาไม่น้อยกว่า 12 เดือน)
อย่างไรก็ตาม หากกำไรในไตรมาส 1/2568 ออกมาตามคาด จะคิดเป็นสัดส่วน 16.3% ซึ่งถือว่าอยู่ระดับใกล้เคียงกับปีอื่น ๆ ทำให้ยังคงประมาณการกำไรปี 2568 ที่ 113 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 39.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน) และคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 6.60 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER25 ที่ 18.3 เท่า แต่ฝ่ายวิเคราะหืมองว่าไม่แพง เนื่องจากคิดเป็น PEG ที่ 0.5 เท่า จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”