ลุ้น SET ทะลุ 1,200 จุด โบรกแนะกลยุทธ์ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” ชู 13 หุ้นลงลึก!

“บัวหลวง” ชี้ตลาดหุ้นไทยสร้างฐานใหม่เหนือ 1,050 จุด คาดฟื้นตัวต่อถึง 1,230 จุด รับแรงหนุนจากกองทุน ESGX, มาตรการควบคุมคำสั่งซื้อขาย และความคาดหวังลดดอกเบี้ย พร้อมแนะกลยุทธ์ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” 13 หุ้นเด่น


ผู้สื่อข่าวรายงานอ้างอิงบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงเคลื่อนไหวในกรอบเชิงบวก โดยสามารถสร้างฐานใหม่เหนือระดับ 1,050 จุด ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นจุดต่ำสุดของรอบและไม่น่าจะถูกทดสอบอีกภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า บ่งชี้ถึงการปิดความเสี่ยงด้านลบระยะสั้น

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศยังคงทรงตัว โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้และปีหน้าขยายตัวที่ระดับ 2.8-3% แม้จะต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ 3.3% ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดการณ์โต 1.8% จากเดิม 2.7%

ด้านการค้าระหว่างประเทศยังต้องจับตาความเคลื่อนไหวจากสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ว่าอัตราภาษีตอบโต้จีนอาจไม่ถึง 145% ขณะเดียวกันมี 12 รัฐในสหรัฐฯ ยื่นฟ้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศเพื่อขอให้ยุติมาตรการภาษีดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลให้ไม่สามารถบังคับใช้ได้ในอนาคต

ส่วนปัจจัยในประเทศมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนตลาดเพิ่มเติม ทั้งการเปิดขายกองทุน THAI ESGX เริ่มวันที่ 2 พฤษภาคม และมาตรการ Auto Pause จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะเริ่มใช้ 6 พฤษภาคม เพื่อลดความผันผวนจากคำสั่งซื้อขายที่กระทบต่อราคาหุ้น รวมถึงการเตรียมพิจารณาทบทวนมาตรการฟรีวีซ่า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะให้นักลงทุนใช้จังหวะ “Buy the Dips” โดยเน้นการเข้าซื้อหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในระยะสั้น เริ่มจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีแรงเก็งกำไรรีบาวด์จากฐานราคาที่ปรับลงมาก่อนหน้า ได้แก่ บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CCET, บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA, บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA และ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE

ขณะที่กลุ่มรับอานิสงส์จากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบจากภาคการส่งออกที่ยังชะลอตัวนั้น ประกอบด้วย บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STECON และ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK รวมถึงกลุ่มธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและการบริโภคภายในประเทศ อาทิ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO, บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG, บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท ซีพี แอ๊กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT

ในด้านกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC และ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ซึ่งมีโอกาสในการลดต้นทุนทางการเงินและขยายสินเชื่อได้มากขึ้น

สำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงยาว แนะนำสะสมหุ้นกลุ่ม Defensive ซึ่งมีความทนทานต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มผลประกอบการยังคงแข็งแกร่ง ได้แก่ หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล โรงไฟฟ้า ค้าปลีก และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ซึ่งถือเป็นกลุ่มหลักที่เหมาะแก่การลงทุนแบบทยอยสะสม (DCA) เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ดัชนี SET ล่าสุดเคลื่อนไหวบริเวณแนวต้านสำคัญที่ 1,150 จุด ซึ่งเป็นระดับเส้นค่าเฉลี่ย EMA 25 วัน และ Fibonacci 23.6% หากสามารถยืนเหนือแนวนี้ได้ คาดว่าจะปรับขึ้นสู่เป้าหมายถัดไปที่ระดับ 1,200-1,230 จุด ซึ่งคิดเป็นการฟื้นตัวราวหนึ่งในสามจากระยะทางของการปรับฐานครั้งก่อน โดยมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,120 จุด ทั้งนี้โครงสร้างตลาดโดยรวมยังอยู่ในโหมดฟื้นตัว หลังผ่านแรงกดดันจากข่าวลบต่างๆ ทำให้เครื่องมือทางเทคนิคทั้งระยะสั้นและกลางเข้าสู่ภาวะ Oversold หนุนโอกาสการปรับตัวขึ้นในระยะถัดไป

Back to top button