
KKPS หั่น GDP ไทยปี 68-69 เหลือ 1.7-2.0% เซ่นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ-เศรษฐกิจชะลอ
KKPS ปรับลดประมาณการ GDP ไทยปี 2568-2569 เหลือ 1.7-2.0% จากผลกระทบนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจยังสูง แนะลงทุนหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล และคมนาคม ขณะที่แนะนำให้ลดน้ำหนักกลุ่มพึ่งพาการค้า
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2568 และ 2569 จากเดิม 2.3% และ 2.4% ตามลำดับ เหลือเพียง 1.7% และ 2.0% ตามลำดับ โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าในอัตรา 10% ต่อสินค้าทั่วโลก (ยกเว้นจีน) หลังสิ้นสุดช่วงหยุดพักภาษีเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลลบต่อภาคส่งออกของไทย โดยฉุดอัตราการเติบโตของ GDP ปี 2568 ลดลงราว -0.35% ถึง -0.6%
อีกทั้งยังได้รับแรงกดดันจากโครงสร้างการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่เปราะบาง รวมถึงการชะลอตัวของภาคการผลิตบางกลุ่ม ซึ่งอาจกระทบ GDP เพิ่มอีก -0.25% ถึง -0.6% สอดคล้องกับแนวโน้ม “ความเสี่ยงด้านการเติบโต” ที่เคยประเมินไว้
ด้านการประเมินผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ในปี 2568 KKPS ยังคงประมาณการ EPS แบบ Top-down ที่ 77 บาทต่อหุ้นไว้เท่าเดิม โดยมีการคำนวณจากกรณีพื้นฐานที่ระดับ EPS 75 บาท ซึ่งสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แทบไม่มีการเติบโตตั้งแต่ปี 2558 และกรณีเศรษฐกิจถดถอยที่ใช้ส่วนลด 20% จาก EPS ปกติที่ 95 บาท ทำให้ได้ EPS ประมาณ 77 บาท
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังให้จับตาผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ของแต่ละบริษัทว่าจะมีสัญญาณยืนยันหรือไม่ โดยคาดว่าแรงกดดันต่อ SET Index จะเกิดจากการ De-rate หรือการเพิ่มส่วนชดเชยความเสี่ยง (Risk Premium) มากกว่าผลประกอบการที่แท้จริง
ส่วนระดับกลุ่มอุตสาหกรรม KKPS ประเมินผลกระทบจากปัจจัยภายนอกในแต่ละกลุ่ม โดยพบว่าหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลและโทรคมนาคมมีผลกระทบต่ำที่สุด ในขณะที่กลุ่มวัสดุก่อสร้างและนิคมอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบมากสุดถึง 30% ส่งผลให้ EPS แบบ Bottom-up ของตลาด (เฉพาะบริษัทที่ KKPS วิเคราะห์ คิดเป็น 70% ของมูลค่าตลาดรวม) ลดลง 13% จาก 96 บาทเหลือ 83 บาท โดยช่องว่างระหว่าง EPS ทั้งสองวิธีส่วนใหญ่เกิดจากหุ้นกลุ่มพลังงานและวัสดุซึ่งมีน้ำหนักรวมกันกว่า 25% ของมูลค่าตลาด
ฝ่ายวิเคราะห์จึงยังคงคำแนะนำ Overweight สำหรับหุ้นเชิงรับ เช่น กลุ่มโรงพยาบาลและโทรคมนาคม ที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจต่ำ ขณะเดียวกันได้ลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคารเป็น Neutral จากความเสี่ยงการลดดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้นกว่าคาด
รวมถึงปรับคำแนะนำกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและวัสดุเป็น Underweight สะท้อนความเสี่ยงจากการค้าโลกที่ยังไม่แน่นอน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก พร้อมคงน้ำหนัก Underweight ต่อกลุ่มพลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ ขนส่ง อสังหาริมทรัพย์ และสาธารณูปโภค ตามเดิม