“เจพีมอร์แกน” หั่นเป้า SET เหลือ 1,200 จุด แนะ 5 ธีมพื้นฐานแกร่ง-ไร้กระทบเทรดวอร์

“เจพีมอร์แกน” คงมุมมองระวังตลาดหุ้นไทย หั่นเป้า SET ลงเหลือ 1,200 จุด ชี้เศรษฐกิจเผชิญแรงกดดันทั้งภายในและภายนอก แม้ได้อานิสงส์ยกเลิกภาษีสหรัฐฯ ชั่วคราว พร้อมชุ 5 กลุ่มพื้นฐานแกร่ง และไม่กระทบกับภาวะต่างประเทศ


บริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ คงมุมมองเชิงระมัดระวังต่อตลาดหุ้นไทย แม้ตลาดฟื้นตัวในระยะสั้นจากการที่สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีตอบโต้สินค้าไทยเป็นเวลา 90 วัน โดยให้เหตุผลว่าระดับมหภาคยังเผชิญความท้าทายสูง ซึ่งคาดว่าจะกดดันต่อประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน และนำไปสู่การหดตัวของมูลค่าหุ้นในช่วงข้างหน้า

โดยเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 36% จากไทย ซึ่งเป็นอัตราสูงเป็นอันดับสองในกลุ่มอาเซียน-6 และคาดว่าจะส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคการผลิตและเศรษฐกิจของไทยโดยรวม แม้ล่าสุดสหรัฐฯ ได้ยกเลิกภาษีดังกล่าวชั่วคราว แต่เจพีมอร์แกนยังประเมินว่าความเสี่ยงเชิงมหภาคยังคงกดดันต่อการเติบโตของ GDP ไทย โดยได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2568 เหลือเพียง 1% จากเดิมที่มีมุมมองสูงกว่านี้

นอกจากนี้ เจพีมอร์แกนมองว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจและการลงทุนทั่วโลกที่ลดลงยังคงเป็นตัวถ่วงต่ออุปสงค์ภายนอก ขณะที่ภายในประเทศเผชิญแรงกดดันจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ส่วนบุคคลและการบริโภคในประเทศ ขณะเดียวกัน กลุ่มหุ้นน้ำมันและก๊าซ ซึ่งมีน้ำหนักสูงในตลาดหุ้นไทย ก็เผชิญความเสี่ยงจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ภายใต้ภาวะดังกล่าว เจพีมอร์แกนได้ปรับลดเป้าหมายดัชนี SET Index ลงเหลือ 1,200 จุด และ MSCI Thailand Index เหลือ 410 จุด จากเป้าหมายเดิมที่ 1,500 และ 500 จุดตามลำดับ โดยระบุว่าทิศทางตลาดในระยะถัดไปจะขึ้นอยู่กับผลการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ และการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าทั่วโลกในไม่กี่เดือนข้างหน้า

ด้านกลยุทธ์การลงทุน เจพีมอร์แกน แนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีความสามารถในการสร้างกำไรได้อย่างมั่นคงและมีการพึ่งพาอุปสงค์ต่างประเทศในระดับต่ำ ได้แก่ กลุ่มโทรคมนาคม (ADVANC และ TRUE) กลุ่มสาธารณสุข (BDMS) กลุ่มสินค้าจำเป็น (CPALL) กลุ่มธนาคาร (KTB และ TIDLOR) และกลุ่มสาธารณูปโภค (GULF)

อย่างไรก็ตาม เจพีมอร์แกนเตือนว่า หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและการขนส่งอาจเปราะบางเป็นพิเศษในรอบนี้ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มท่าอากาศยาน เช่น AOT เนื่องจากการท่องเที่ยวยังซบเซาและมีแนวโน้มส่งผลลบต่อผลประกอบการในระยะข้างหน้า

Back to top button