“ธนาคารโลก” ชี้เศรษฐกิจไทยโตต่ำสุดอาเซียน แนะลงทุน “เทคโนโลยี” พลิกวิกฤต

ธนาคารโลก คาดการณ์ประเทศไทยเศษรฐกิจอาจย้ำแย่กว่าในหลาย ๆ ประเทศแทบอาเซียน เนื่องจากความผันผวนทางเศษรฐกิจโลก แนะนำให้ลงทุนกับเทคโนโลยีเพื่อนำมาพัฒนาและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (25 เม.ย.68) ธนาคารโลก เปิดเผยว่า ในปี 2567 ประเทศใน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (East Asia and Pacific: EAP) มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก แนวโน้มการเติบโตและการสร้างงานให้คงอยู่ต่อไปได้นั้น ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจำเป็นต้องหาทางรอดท่ามกลางโลกที่ผันผวนและรับมือกับความท้าทายระยะยาวที่เกิดจากภาพรวมของการทำธุรกิจโลก (global integration) และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของประชากรให้ได้

ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าในปี 2568 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.0 จากเดิมที่อยู่ที่ร้อยละ 5.0 ในปี พ.ศ. 2567 แนวโน้มการเติบโตดังกล่าวอาจปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับแนวโน้มการเติบโตในภาพรวม

อีกทั้ง ขึ้นอยู่กับนโยบายในการตอบสนองต่อความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกของแต่ละประเทศ อัตราความยากจนในภูมิภาคนี้จะยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในช่วงปี  2567 ถึง 2568 ประชากรราว 24 ล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจะหลุดพ้นจากความยากจนได้ อ้างอิงตามเส้นแบ่งความยากจนของผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง

ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนในระดับสากลที่เพิ่มมากขึ้นกำลังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภค ส่งผลให้การลงทุนและการบริโภคถูกจำกัด รวมไปถึงการส่งออกของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกก็คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดทางการค้า ในขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลทำให้อุปสงค์ภายนอกประเทศยังคงลดลงต่อไป

“ในขณะที่ต้องหาทางรอดท่ามกลางโลกที่ผันผวน ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกก็ยังมีโอกาสที่จะรักษาแนวโน้มทางเศรษฐกิจของตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นได้โดยการลงทุนและรับเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ รวมถึงเพิ่มโอกาสทางธุรกิจผ่านการปฏิรูปอย่างจริงจัง และสร้างความร่วมมือระดับสากลในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น” มานูเอลา วี. เฟอโร รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าว

ธนาคารโลกยังคงคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2568 ของแต่ละประเทศในภูมิภาคไว้ดังนี้: ประเทศจีนคาดว่าจะมีการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 4.0 ประเทศกัมพูชาร้อยละ 4.0 ประเทศอินโดนีเซียร้อยละ 4.7 ประเทศมาเลเซียร้อยละ 3.9 ประเทศมองโกเลียร้อยละ 6.3 สปป.ลาวร้อยละ 3.5 ประเทศฟิลิปปินส์ร้อยละ 5.3 ประเทศไทยร้อยละ 1.6 และประเทศเวียดนามร้อยละ 5.8 ส่วนภาพรวมของประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิกนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2.5

ทั้งนี้ ทางธนาคารโลกได้เสนอแนวทางการตอบสนองเชิงนโยบายสามประการ อันดับแรกคือการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะสามารถกระตุ้นผลิตภาพ ดังที่ประเทศมาเลเซียและไทยได้ดำเนินการไว้ แนวทางที่สองคือการปฏิรูปเพื่อยกระดับการแข่งขัน โดยเฉพาะในด้านการบริการ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ดังที่เห็นได้จากกรณีของประเทศเวียดนาม และประการที่สามคือการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมความแกร่งทางเศรษฐกิจได้

“การผสมผสานระหว่างการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ กับการปฏิรูปที่จริงจังและความร่วมมือเชิงนวัตกรรมสามารถช่วยให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคสามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันและความท้าทายในระยะยาวได้” อาดิตยา แมตทู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกของธนาคารโลก กล่าว

Back to top button