เปิด 6 หุ้น mai ทำเม่ากระเป๋าฉีก!7 เดือนราคาหุ้นร่วงหนักเกิน 30%

เปิด 6 หุ้น mai ทำเม่ากระเป๋าฉีก! 7 เดือนราคาหุ้นร่วงหนักเกิน 30% นำโดย TAKUNI,EFORL,LDC,UPA,SR, และ BSM


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ปรับตัวลงแรงในรอบ 7 เดือน โดยเทียบราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.58-29 ก.ค.59 โดยครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นที่ราคาปรับตัวลงแรงเกิน 30% นำโดย TAKUNI,EFORL,LDC,UPA,SR, และ BSM

หลักทรัพย์ 29-ก.ค.-59 30-ธ.ค.-58 เปลี่ยนแปลง
บาท %
TAKUNI 2.32 3.9 -1.58 -40.5128
EFORL 0.46 0.77 -0.31 -40.2597
LDC 1.73 2.66 -0.93 -34.9624
UPA 0.77 1.18 -0.41 -34.7458
SR 2.88 4.3 -1.42 -33.0233
BSM 0.42 0.62 -0.2 -32.2581

 

โดยอันดับ 1 บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 2.32 บาท (29 ก.ค.59) ลบ 1.58 บาท หรือลดลง 40.51% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 3.90 บ. (30 ธ.ค.58) โดยราคาหุ้นร่วงแรงแรงในช่วง 7 เดือน คาดส่วนหนึ่งทยอยขายหุ้นจากประเด็นการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทจำนวน 400 ล้านบาท จากเดิม 200 ล้านบาท เป็น 600 ล้านบาท และถึงแม้จะมีการวางกลยุทธสร้างความแข็งแกร่งธุรกิจ และตั้งฐานใหม่รุกงานวิศวกรรม อีกทั้งทุ่มงบ 285 ลบ.ซื้อที่ดิน-อาคาร-อุปกรณ์ในจ.ระยอง เพื่อใช้รองรับการดำเนินงานในอนาคต ก็ไม่ช่วยหนุนราคาหุ้น

เนื่องจากธุรกิจหลักก๊าซปิโตรเลียมเหลว และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซปิโตรเลียมเหลว สร้างผลกำไรไม่ดีนัก ทำให้งบ Q1/59 มีกำไร 0.93 ล้านบาท ลดลง 97% จากปีก่อนมีกำไร 28.41 ล้านบาท ยิ่งทำให้นักลงทุนขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนงบ Q2/59 มีกำไร 18.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 155% จากปีก่อน 7.34 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการเพิ่มขึ้น ส่วน 6 เดือนแรกมีกำไร19.64 ล้านบาท ลดลง 45% จากงปีก่อนมีกำไร 35.76 ล้านบาท จะช่วยฟื้นราคาหุ้นอีกรอบหรือไม่น่าจับตา

 

อันดับ 2 บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 0.46 บาท (29 ก.ค.59) ลบ 0.31 บาท หรือลดลง 40.26% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 0.77 บ. (30 ธ.ค.58) ราคาหุ้นอ่อนตัวตลอดช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากหุ้นไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ประกอบกับตัวธุรกิจที่ออกมาไม่สดใสเห็นได้งบ Q1/59 มีผลขาดทุนสุทธิ 32.26 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 103.11 ลบ. ยิ่งทำให้ราคาหุ้นซึ่งเป็นขาลง

ล่าสุดงบ Q2/59 ขาดทุน 49.48 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 20.20 ล้านบาท  เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการลดลง ส่วนงวด 6 เดือนขาดทุน 81.74 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 123.31 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าผลงานครึ่งปีหลังจะดีขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ โดยคาดว่ารายได้ปีนี้จะอยู่ที่ราว 5,000 ล้านบาท ตรงนี้ก็อาจจะช่วยหนุนให้ราคาหุ้นฟื้นตัวได้อีกครั้ง

 

อันดับ 3 บริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) หรือ LDC ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 1.73 บาท (29 ก.ค.59) ลบ 0.93 บาท หรือลดลง 34.96% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.66 บ. (30 ธ.ค.58) ราคาหุ้นอ่อนตัวมีปัจจัยหลายอย่าง อาทิ ผลงานที่ยังไม่สดใส ขณะเดียวกันประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 100 ล้านบาท เป็น 150 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 200 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นจำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น ให้ผู้ถือหุ้นเดิม 4:1 ที่ราคา 1 บ. และจำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น เสนอขาย PP

อีกทั้งงบ Q/59 ขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 14.27 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 4.98 ล้านบาท ผสมกับหุ้นเพิ่มทุนเสนอขาย PP ราคาหุ้นละ 1.63 บ.จำนวน 50 ล้านหุ้น เข้าซื้อขายช่วงเดือนมิ.ย.ยิ่งทำให้หุ้นร่วงแรง

ส่าสุดผลการดำเนินงาน Q2/59 มีผลขาดทุนสุทธิ 19.08 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 255% จากปีก่อนขาดทุน 5.38 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ส่วน 6 เดือนขาดทุน 33.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 222% จากปีก่อนขาดทุน 10.36 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามบริษัทคาดในปี 60 จะพลิกกลับมามีกำไร และคาดว่ารายได้จะแตะ 1 พันล้านบาท จากการเน้นขยายสาขาที่ในปีนี้ บริษัทฯยังคงเน้นการลงทุนจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายหาทำเลเพื่อขยายสาขาใหม่เพิ่มเติมให้ได้รวมกันทั้งสิ้น 40 สาขา ภายในในปี 60

 

อันดับ 4 บริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ UPA ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 0.77 บาท (29 ก.ค.59) ลบ 0.41 บาท หรือลดลง 34.74% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.18 บ. (30 ธ.ค.58) ราคาหุ้นอ่อนตัว เนื่องจากบริษัทยังประสบปัญหาขาดทุนเรื้อรัง ทำให้ข่าวดีที่เข้ามาสนับสนุน อาทิ เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ขนาด 200 เมกะวัตต์ (MW) กับกระทรวงพลังงานสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และเซ็น MOU ร่วมมือ System Integrator ใหญ่ของเวียดนาม ไม่ได้ช่วยหนุนราคาหุ้นให้ฟื้นตัว เนื่องจากงบ Q1/59 ขาดทุน 33.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.01% จากปีก่อนขาดทุน 20.51 ล้านบาท

อีกทั้งงบ Q2/59 ขาดทุน 34.12 ล้านบาท ลดลง 5.64% จากปีก่อนขาดทุน 36.16 ล้านบาท ส่วน 6 เดือน ขาดทุน 67.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.12% จากปีก่อนขาดทุน 56.84 ล้านบาท    

             

อันดับ 5 บริษัท สยามราช จำกัด (มหาชน) หรือ SR  ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 2.88 บาท (29 ก.ค.59) ลบ 1.42 บาท หรือลดลง 33.02% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 4.30 บ. (30 ธ.ค.58) ราคาหุ้นอ่อนตัวลงแรงเนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ทำให้หุ้นปรับตัวแรงก่อนหน้านี้ถูกเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลงาน Q1/59 ไม่โดดเด่น โดยมีกำไร  4.10 ล้านบาท จากปีก่อน 1.54 ล้านบาท ล่าสุดงบ Q2/59 มีกำไร 7.19 ล้านบาท ลดลง 90.45% จากปีก่อน 75.38 ล้านบาท  ส่วน 6 เดือนมีกำไร 11.43 ล้านบาท ลดลง 84.85% จากปีก่อน 75.44 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 59 เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน โดยที่ปัจจุบันมีปริมาณงานในมือ (Backlog) มูลค่าประมาณ 905 ล้านบาท และยังอยู่ระหว่างรอลุ้นผลการประมูลงานใหม่อีกจำนวนมาก

 

อันดับ 6 บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSM  ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 0.42 บาท (29 ก.ค.59) ลบ 0.20 บาท หรือลดลง 32.25% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 0.62 บ. (30 ธ.ค.58) ราคาหุ้นอ่อนตัวเนื่องจากผลงานที่ผ่านมายังไม่โดดเด่น แม้ว่าบริษัทจะมีข่าวดีออกมาหนุนอาทิ ทุ่มงบ 372 ล้านบาท ทำโครงการชุมชนหลังเกษียณสร้างรายได้ค่าเช่า  และตั้งบริษัทย่อยบริหารจัดการโครงการ Senior Living Project  ราคาหุ้นก็ยังไม่ฟื้น

ส่วนงบ Q2/59 ขาดทุนสุทธิ 1.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากปีก่อนขาดทุนสุทธิ 1.10 ล้านบาท ส่วน 6 เดือนกำไรสุทธิ 0.97 ล้านบาท ลดลง 83% จากปีก่อนกำไร 5.69 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริการเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 60 สูงขึ้นเป็น 800-900 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ราว 700 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ คือ โครงการชุมชนหลังเกษียณภายใต้ชื่อ Sansara หัวหิน เข้ามาบางส่วนตั้งแต่ปลายปีนี้ ก่อนที่จะทยอยรับรู้ฯ เต็มที่ในช่วงปี 60-62 โดยในปี 60 จะรับรู้ฯ ราว 125 ล้านบาท ปี 61 ราว 200 ล้านบาท และปี 62 จะมีรายได้ราว 150 ล้านบาท

 

หากสังเกตหุ้นปรับตัวลงแรง ส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบในเรื่องผลประกอบการ และทิศทางธุรกิจยังไม่สดใสทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามหากมองอีกด้านหนึ่งถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้สะสมหุ้นกลุ่มนี้ เพราะยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนปีนี้ที่หุ้นเหล่านี้จะได้พิสูจน์ผลงงาน และโชว์แผนธุรกิจให้กับนักลงทุนได้มั่นใจ ถึงตอนนั้นหุ้นเหล่านี้ก็มีโอกาสกลับมาสดใสและดีดกลับไปราคาเดิมที่เคยร่วงลงมาก็เป็นได้ 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้นเป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำหรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตามล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button