ส่องด่วน! 25 หุ้นอาการโคม่า Q2 พลิกขาดทุนยับเยิน

ส่องด่วน! 25 หุ้นอาการโคม่า Q2 พลิกขาดทุนยับเยิน


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ SET และ mai ที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/59 พลิกขาดทุนสุทธิจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนที่มีกำไร หลังธุรกิจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้รายได้ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง

สำหรับหุ้นที่พลิกมีกำไรประกอบด้วย TRUE ,NMG ,RCL ,ROJNA ,BA ,RS  ,SIM ,TRUBB ,MCOT ,EFORL  ,VPO  ,UWC ,PF ,AKR ,QTC ,T ,HOTPOT ,DAII ,RCI ,PCA ,TFI ,DEMCO ,HFT ,SCI และ GTB

ตารางเปรียบเทียบผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/58 และ ไตรมาส 2/59

 

อันดับที่ 1 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 370.74 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.01 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.39 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.06 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานไตรมาสดังกล่าวพลิกขาดทุน เนื่องจากกลุ่มทรูมีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทจำนวน 370.7 ล้านบาท เป็นผลจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเร่งขยายโครงข่าย 4G และ 2G ให้ครอบคลุมประชากรทั่วประเทศ เพิ่มเติมจากโครงข่าย 3G ที่ครอบคลุมแล้วกว่าร้อยละ 98 ของประชากรไทย รวมถึงค่าตัดจำหน่ายใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ของกลุ่มทรู

อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 1.60 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.06 บาทต่อหุ้น ลดลง 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.96 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.12 บาทต่อหุ้น

 

ด้าน บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ถือ” TRUE ด้วยราคาเป้าหมาย 7.60 บาท แม้ศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้ยกเลิกคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งให้ TOT จ่าย TRUE เป็นจำนวนเงิน 9.2 พันล้านบาท สำหรับการให้บริการพิเศษบนเครือข่ายของ TRUE ทั้งนี้มองว่าประเด็นดังกล่าวไม่มีผลต่อประมาณการมูลค่าพื้นฐาน TRUE เนื่องจากไม่ได้มีการรวมการตัดสินคดีความเข้ามาในประมาณการ

รวมถึงไม่มีผลต่องบทางบัญชีของ TRUE เนื่องจากไม่ได้มีการรับรู้เป็นรายได้ หรือมีการตั้งเป็นสินทรัพย์ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้คาดว่าการตัดสินคดีนี้จะไม่มีผลต่อข้อพิพาทอื่นๆ ของ TRUE ที่มีอยู่ และไม่คาดว่าจะมีผลต่อ ADVANC หรือ DTAC เนื่องจากบริษัททั้งสอง ไม่มีข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องกับการให้บริการบนเครือข่าย

 

อันดับที่ 2 บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ39.55 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.01 บาทต่อหุ้น ขาดทุนเพิ่มขึ้น 1273% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 2.88 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.001 บาทต่อหุ้น

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวขาดทุนเพิ่มขึ้นเนื่องจากรายได้จากการขายและบริการสำหรับไตรมาสแรกของปี 2559 ลดลง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและส่งผลกระทบทำให้รายได้จากการขายโฆษณาลดลง และรายได้จากการจำหน่ายสื่อสิ่งพิมพ์ พ๊อคเก็ตบุ๊คส์ การ์ตูนและหนังสือเด็กลดลง

 

อันดับที่ 3 บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือ RCL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 182.61 ล้านบาท หรือมีขาดทุนสุทธิ 0.22 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 55.31ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.07 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวมีพลิกขาดทุนเนื่องจากจากภาวะล้นเกินของเรือขนส่งตู้สินค้า ซึ่งถูกนํามาใช้เพิ่มมากขึ้นสำหรับเส้นทางภายในภูมิภาคเอเชีย และความต้องการการขนส่งที่ไม่เพียงพอจนทำให้การเจริญเติบโตของการค้าการขนส่งตู้สินค้ามีค่าติดลบนี้ ในไตรมาสสองของปี อัตราค่าระวางได้ลดต่ำลงร้อยละ 16.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีขาดทุนสุทธิ 425.97 ล้านบาท หรือ 0.51 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 228.17 ล้านบาท หรือ 0.28 บาทต่อหุ้น

 

อันดับที่ 4 บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 140.67 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.07 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 338.33 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.17 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวมีพลิกขาดทุนเนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายที่ดิน-ขายไฟฟ้าลดลง

อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกขาดทุน 29.04 ล้านบาท หรือ 0.01 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 697.84 ล้านบาท หรือ 0.37 บาทต่อหุ้น

 

ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ โดยมีมีมุมมอง Negative ต่อรายงานขาดทุนปกติไตรมาส 2/59ของ ROJNA อ่อนแอกว่าที่คาดไว้หากพิจารณาจากกำไรปกติทั้งปี 59 ซึ่งมาจากการกลับรายการรายได้อื่นที่มาจาก TICON ออก โดยการกลับจากมีกำไรทั้งจากปีก่อนมาจากรายได้ขายที่ดินที่ลดลง ส่วนไตรมาสก่อนมาจากการกลับรายได้อื่นที่มาจาก TICON ออก ทั้งนี้ปรับลดคำแนะนำเป็น REDUCE และปรับไปใช้ TP17F = 5.10 บาท/หุ้น (เดิม NEUTRAL; TP16F = 5.40 บาท/หุ้น) โดยแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนใน ROJNA จากแนวโน้มกำไรในระยะยาวที่ไม่สดใส และในระยะสั้นมีแรงกดดันจากผลประกอบการไตรมาส 2/59 ที่อ่อนแอ

 

อันดับที่ 5 บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 127.62 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.061 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 91.48 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.044 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกขาดทุนเนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จากการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประกาศกระทรวงการคลัง ฉบับลงวันที่ 16 มิถุนายน 2559

อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 1.43 พันล้านบาท หรือ 0.679 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.16 พันล้านบาท หรือ 0.553 บาทต่อหุ้น

 

โดย บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ แนะ “ซื้อ” หุ้น BA ให้ราคาเป้าหมาย 34.25 บาท ช่วงครึ่งปีหลังของปี 59 คาดกำไรโตเด่นจากปีก่อน หลังการท่องเที่ยวเกาะสมุยที่สดใสและต้นทุนน้ำมันที่ปรับลง หนุนให้คาดปี 59 กำไรปกติยังโตเด่น 20.1% จากปีก่อน และโตต่อปีละ 27.1% ในปี 60-61 และมี Upside 44% และคาดให้ Div.Yield 4.6%

 

สำหรับผลการดำเนินงานของบจ.ดังกล่าวที่พลิกขาดทุนนั้นจะส่งผลกระทบด้านลบต่อราคาหุ้น เนื่องจากทำให้เกิดความไม่มั่นใจในธุรกิจและผลการดำเนินงานในไตรมาสถัดไปว่าจะสามารถพลิกมีกำไรได้หรือไม่ 

Back to top button