จะรุ่งหรือร่วง? 20 หุ้น SET-maiไตรมาส 2/59 พลิกขาดทุนลดลง
จะรุ่งหรือร่วง? 20 หุ้น SET-mai ไตรมาส 2/59 พลิกขาดทุนลดลง นำโดย TPOLY,UREKA,TPIPL, THAI, RICH,TICON,TMI,TH,SPORT,UMS, AIRA, CGD, ABC,HYDRO,JTS, NOBLE,TEAM, GENCO,GRAMMY และ GRAND
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ SET และ mai ไตรมาส 2/59 พลิกขาดทุนลดลง โดยหุ้นที่พลิกขาดทุนลดลงมีทั้งหมด 20 ตัว นำโดย TPOLY,UREKA,TPIPL, THAI, RICH,TICON,TMI,TH,SPORT,UMS, AIRA, CGD, ABC,HYDRO,JTS,NOBLE,TEAM,GENCO,GRAMMY และ GRAND
ทั้งนี้หากมองหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสที่จะพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งได้ เพราะมีหลายบริษัทยืนยันว่าปีนี้จะพลิกกลับมามีกำไร ขณะเดียวกันหุ้นบางตัวก็มีอาจขาดทุนอีกตามเคยก็เป็นได้ ตรงนี้น่าจับตาหุ้นทั้ง 20 ตัว ว่าจะกลับมารุ่งหรือร่วง เพราะเหลือเวลาเพียง 2 ไตรมาสเท่านั้น ที่บริษัทจะได้พิสูจน์ผลงานให้นักลงทุนได้เห็นตามเป้าหมายที่วางไว้
หลักทรัพย์ | ขาดทุน Q2/59 | ขาดทุน Q2/58 | เปลี่ยนแปลง% |
ล้านบาท | ล้านบาท | ||
TPOLY | -3.69 | -136.49 | -97.30 |
UREKA | -1.42 | -24.81 | -94.28 |
TPIPL | -34.50 | -607.36 | -94.32 |
THAI | -2,921.08 | -12,759.07 | -77.11 |
RICH | -9.81 | -38.37 | -74.43 |
TICON | -9.56 | -29.72 | -67.85 |
TMI | -1.97 | -6.00 | -67.17 |
TH | -5.94 | -17.22 | -65.51 |
SPORT | -14.12 | -38.24 | -63.06 |
UMS | -11.29 | -27.24 | -58.55 |
AIRA | -25.30 | -52.10 | -51.44 |
CGD | -57.48 | -114.74 | -49.90 |
ABC | -13.87 | -20.37 | -31.91 |
HYDRO | -10.34 | -19.99 | -48.27 |
JTS | -6.23 | -8.35 | -25.43 |
NOBLE | -119.57 | -154.23 | -22.47 |
TEAM | -29.77 | -35.56 | -16.29 |
GENCO | -6.15 | -6.90 | -10.98 |
GRAMMY | -108.73 | -135.25 | -19.61 |
GRAND | -70.09 | -72.50 | -3.32 |
อันดับ 1 บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPOLY รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 3.69 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.01 บาทต่อหุ้น ลดลง 97% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 136.49 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.27 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไร 13.62 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น 0.02 บาท เพิ่มขึ้น 108.94% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 152.37 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.30 บาทต่อหุ้น
ทั้งปีก็มั่นใจพลิกเป็นกำไรสุทธิได้จากปีก่อนขาดทุน 278 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลมาจากบริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจภายในหลังรับผลกระทบปรับขึ้นค่าแรง ซึ่งตอนนี้แก้ปัญหาได้แล้ว
ในครึ่งปีหลังบริษัทมีงานเตรียมเซ็นรับงานใหม่เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ มูลค่าราว 700 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังคาดได้งานอาคารสูงที่บริษัทได้ยื่นประมูลไปทั้งหมดราว 10,000 ล้านบาท โดยหวังได้ 10% ซึ่งปีนี้ก็หวังว่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้างดีขึ้นก็จะสามารถลดตัวเลขขาดทุนสะสมลงได้ โดยคาดว่าจะล้างได้หมดในปี 60 เพื่อพิจารณาจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป
อันดับ 2 บริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ UREKA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 1.42 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.003 บาทต่อหุ้น ลดลง 94% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 24.81 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.06 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีผลขาดทุนสุทธิ 24.85 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.06 บาทต่อหุ้น ลดลง 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 41.00 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.11 บาทต่อหุ้น
บริษัทมั่นใจผลประกอบการทั้งปีจะพลิกกลับมามีกำไรอย่างแน่นอน ปัจจุบัน บริษัทมีบริษัทฯมีงานในมือ (Backlog) 180 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ภายในปีนี้ ที่เหลือจะทยอยรับรู้ฯ ในปี 60 ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างยื่นเสนอราคางานใหม่มูลค่ารวมประมาณ 200 ล้านบาท
อันดับ 3 บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 34.50 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.002 บาทต่อหุ้น ขาดทุนลดลง 94% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 607.36 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.03 บาทต่อหุ้น โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวที่ขาดทุนลดลง เนื่องจากมีรายได้จากการขาย และรายได้รวมที่เพิ่มขึ้น
ส่วนผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีผลขาดทุนสุทธิ 89.44 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.004 บาทต่อหุ้น ขาดทุนลดลง 76% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 368.17 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.018 บาทต่อหุ้น
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/59 คาดจะคงที่เทียบไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่ผลประกอบการของธุรกิจก่อสร้างและปัจจัยที่อ่อนแอตามฤดูกาลเป็นปัจจัยที่กดดัน อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าผลประกอบการจะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/59
เนื่องจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า และนอกจากนี้จะมีการปรับปรุงมูลค่าตามบัญชีทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 4/59 หรือ ในไตรมาส 1/60 ดีขึ้น และผลประกอบการในไตรมาส 1/60 จะมีปัจจัยบวกจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าขนาด 90MW RDF (คาดเซ็น PPA ในปีนี้)
อันดับ 4 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 2.92 พันล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 1.34 บาทต่อหุ้น ขาดทุนลดลง 77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 12.76 พันล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 5.85 บาทต่อหุ้น โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวที่ขาดทุนลดลง เนื่องจากค่าน้ำมันเครื่องบินลดลง และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง รวมทั้งต้นทุนทางการเงินลดลง
ส่วนผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไร 3.08 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 1.41 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 8.21 พันล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 3.76 บาทต่อหุ้น
บริษัทเชื่อมั่นผลประกอบการปีนี้จะมีกำไรตามแผนปฏิรูปองค์กรอย่างแน่นอน พลิกสถานการณ์จากปีก่อนขาดทุนสุทธิ 1.3 หมื่นล้านบาท โดยคาดผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังใกล้เคียงครึ่งปีแรก ขณะเดียวกันบริษัทจะเดินหน้าปรับกลยุทธ์หารายได้เพิ่ม โดยปลายปีนี้จะเริ่มใช้ระบบการจองตั๋วผ่านอินเตอร์เน็ตที่ได้ปรับปรุงระบบเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งช่วยสนับสนุนยอดขายตั๋วโดยสารให้เพิ่มขึ้น และจะพยายามลดต้นทุนของหน่วยธุรกิจ 5 แห่ง
อันดับ 5 บริษัท ริช เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ RICH รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 9.81 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.004 บาทต่อหุ้น ขาดทุนลดลง 74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 38.37 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.016 บาทต่อหุ้น
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวขาดทุนลดลงเนื่องจาก รายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้เหล็กในประเทศปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากทั้งโครงการก่อสร้างของภาครัฐ และภาคเอกชน จึงทำให้บริษัทและบริษัทย่อยได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าในงวดนี้เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 2.06 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.001 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 35.66 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.015 บาทต่อหุ้น