JMT วิ่งฉิว! ลุ้นแตะเป้า 20 บ. รับผลงาน Q3 ยังโตต่อเนื่อง
JMT วิ่งฉิวลุ้นแตะเป้า 20 บ. ลุ้นผลงานไตรมาส 3/59 เติบโตต่อเนื่องหลังลดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ พร้อมปรับเป้ารายได้ปีนี้เป็นโต 50% หลังซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่ม
JMT วิ่งฉิวลุ้นแตะเป้า 20 บ. ลุ้นผลงานไตรมาส 3/59 เติบโตต่อเนื่องหลังลดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ พร้อมปรับเป้ารายได้ปีนี้เป็นโต 50% หลังซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เริ่มปรับตัวดีขึ้นหลังจากรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 35.19 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.10 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 18.94 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.06 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวมีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อมากขึ้น
ด้าน นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ในปีนี้เป็นเติบโต 50% จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่เติบโต 15% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 720.33 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากปริมาณการซื้อหนี้เข้ามาบริหารจำนวนมากขึ้น และมีสถาบันการเงินใช้บริการธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้ของบริษัทเพิ่มมากขึ้น หลังจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงชะลอตัวส่งผลให้ปัญหาหนี้เสียเพิ่มขึ้น ซึ่งในระบบธนาคารในปีนี้มองว่าหนี้เสียจะเพิ่มขึ้นเป็น 120 ล้านล้านบาทในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 100 ล้านล้านบาท
สำหรับการซื้อหนี้เสียเข้ามาเพิ่มครึ่งปีหลังนั้น บริษัทเตรียมที่จะซื้อหนี้เสียที่เป็นสินเชื่อบ้านจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะซื้อเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/59 ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการขออนุมัติจากกระทรวงการคลัง
นอกจากนี้บริษัทก็ยังมีการซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินที่เป็นหนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลเข้ามาเพิ่มเติม โดยบริษัทมั่นใจว่ามูลค่าการซื้อหนี้เข้ามาบริหารในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งปีแรกบริษัทซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารแล้วมูลค่า 5.8 พันล้าบาท และในปีนี้จะใช้เงินลงทุนในการซื้อหนี้เสียทั้งหมด 1 พันล้านบาท ส่วนในปี 60 บริษัทจะใช้เงินลงทุนในการซื้อหนี้เสียเพิ่มเป็น 1.5 พันล้านบาท เพื่อซื้อหนี้เสียเข้ามาอีกมูลค่า 3 พันล้านบาท
โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้แบ่งเป็นธุรกิจซื้อหนี้เข้ามาบริหาร 80% ธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้ 14% และธุรกิจประกันกับสินเชื่อ 6% โดยมีบริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้ธุรกิจประกันภายใน 3 ปี (ปี 59-61)เป็น 10%
ส่วนแนวโน้มของ JMT Plus ซึ่งเป็นธุรกิจปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล ในไตรมาส 4/59 จะเป็นไตรมาสแรกที่ JMT Plus มีกำไร หลังจากขาดทุนในช่วงที่ผานมาซึ่งเป็นช่วงเริ่มธุรกิจ และในปีนี้บ JMT Plus ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 2 พันล้านบาท และตั้งเป้าภายในปี 61 จะปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 6 พันล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อเปลี่ยนชื่อ JMT Plus เป็น JFintech เพื่อให้ชื่อบริษัทมีความสอดคล้องกับรูปแบบธุรกิจของ JMT Plus แบบใหม่ที่จะเปลี่ยนไปในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวกลางให้กับบริษัทในเครือ คาดว่าบริการ Fintech ของ JMT Plus จะเปิดให้บริการภายในต้นปี 60 และชื่อบริษัทจะสามารถเปลี่ยนได้ภายในต้นปี 60 เช่นกัน
ทั้งนี้การนำ JMT Plus เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังคงเดินหน้าต่อไป ซึ่งบริษัทต้องการให้ JMT plus มีกำไร 3 ปี และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในไตรมาส 4/61
ขณะที่ นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (24 ส.ค.) แนะนำ “ซื้อ” JMT ราคาเป้าหมาย 20 บาท/หุ้น สินเชื่อไม่ยุ่ง มุ่งแต่ธุรกิจบริหารหนี้ หลังมีมุมมองบวกต่อการลดสัดส่วนการถือหุ้นใน JMT Plus ลง เพื่อมามุ่งเน้นกับธุรกิจบริหารหนี้รายย่อยที่ขึ้นแท่นใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศไปแล้ว อีกทั้งจะไม่เป็นภาระในการจัดหาแหล่งเงินทุนต่อบริษัทเกินไป
ด้านกำไรสุทธิไตรมาส 2/59 เท่ากับ 35 ล้านบาท ตามคาด พลิกจากขาดทุนสุทธิ 15 ล้านบาทในงวด ไตรมาส 1/59 เนื่องจากการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ สำหรับเงินให้สินเชื่อบุคคลตามที่ฝ่ายวิจัยได้นำเสนอข้อมูลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากสินเชื่อที่ปล่อยไปในงวดไตรมาส 3/58 (ผ่าน บ.ย่อย เจ เอ็ม ที พลัสฯ ถือหุ้น 99.99%) แม้บริษัทยังมีภาระต้องกันสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้นอีกในงวดนี้ แต่ก็ลดลงมากจากงวดไตรมาส 1/59 สอดคล้องกับ NPL ที่ลดลงเหลือ 7.47% จาก 8.06% ณ สิ้นงวดไตรมาส 1/59 ส่วนธุรกิจหลักเห็นสัญญาณบวกเช่นกัน จากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มทั้งธุรกิจติดตามหนี้ การบริหารหนี้ และรายได้ดอกเบี้ยรับ สวนทางกับต้นทุนบริการ และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลง
ทั้งนี้ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2559 ของ JMT ขึ้น 18.6% แต่ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2560 ลง 9.2% จากเดิม เพื่อสะท้อนการถอดสินเชื่อบุคคลออกไปจากประมาณการ ตามแนวโน้มการลดสัดส่วนการลงทุนใน บ.เจเอ็มที พลัสฯ ลงเหลือราว 9% เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อการจัดหาแหล่งเงินให้กับ JMT Plus ในช่วงที่แนวโน้มธุรกิจเติบโตในเชิงรุกมากจากนี้ ภายหลังเพิ่มประมาณการ
ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2559-60 เติบโตอย่างมีนัยฯ ถึง 38.1% จากปีก่อน และ 28.8% จากปีก่อน โดยแรงขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจจากนี้ มาจากธุรกิจบริหารหนี้เป็นหลักจากแผนการรับซื้อหนี้เชิงรุกขึ้นในครึ่งปีหลังของปี 59 และปี 2560
ขณะที่คาดผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/59 เติบโตต่อเนื่องจากงวดไตรมาส 1/59 จากการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ สำหรับสินเชื่อบุคคลที่มีปัญหาในช่วงที่ผ่านมา โดยคาดผลการดำเนินงานของ JMT Plus จะเข้าสู่ระดับคุ้มทุนได้ในงวดนี้ และพลิกเป็นกำไรเล็กน้อยในงวดไตรมาส 4/59
ทั้งนี้คงคำแนะนำซื้อ Fair value ปี 2559 ภายหลังปรับปรุงเพิ่มขึ้นเป็น 20 บาท จากเดิม 14.50 บาท อิง PBV 4.29 เท่า (เดิม 3.12 เท่า) ตามวิธี GGM ภายใต้คาดการณ์ ROE ระยะยาวที่ 15% (เดิม 13.8%)
โดยล่าสุดราคาหุ้น JMT ปิดตลาดวานนี้ (24 ส.ค.) ราคาอยู่ที่ 15.30 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 1.32% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 25.72 ล้านบาท ยังมี Upside 30.72% จากราคาเป้าหมาย 20 บาท