กูรูการันตรี MINT ผลงาน Q3 แจ่ม เข้าช่วง High season เป้าสูงปรี๊ด!
โบร์กเชียร์ "ซื้อ" MINT หลังเข้าสู่ช่วง High season ทุ่มงบลงทุนปี 59-63 ราว 4 หมื่นลบ. ขยายธุรกิจต่อเนื่องทั้งใน-ต่างประเทศ P/E ต่ำกว่ากลุ่มที่ 20.26 เท่า จากกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มอยู่ที่ 20.50 เท่า ราคาเป้าหมาย 50 บาท อัพไซด์กว่า 22.70%
โบร์กเชียร์ “ซื้อ” MINT หลังเข้าสู่ช่วง High season ทุ่มงบลงทุนปี 59-63 ราว 4 หมื่นลบ. ขยายธุรกิจต่อเนื่องทั้งใน-ต่างประเทศ P/E ต่ำกว่ากลุ่มที่ 20.26 เท่า จากกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มอยู่ที่ 20.50 เท่า ราคาเป้าหมาย 50 บาท อัพไซด์กว่า 22.70%
เวลานี้คงต้องจับตาหุ้นบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINTเป็นพิเศษหลังหน้าชื่นตาบานไปหมาดๆ กับผลประกอบการไตรมาส 2/59 ของบริษัท ที่มีกำไรสุทธิ 731.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนในครึ่งปีหลังยังได้รับอานิสงค์เข้าสู่ช่วงHigh seasonหนุนกำไรโตโดดเด่น รวมถึงยังมีประเด็นเชิงบวกอีกมากที่หนุนผลประกอบการให้เติบโตดีในอนาคต
ด้าน นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์และนักลงทุนสัมพันธ์ MINTเปิดเผยว่า บริษัทยังคงแผนกำไรสุทธิในช่วง 5 ปี (ปี 59-63) จะเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละ 15-20% และมีรายได้รวมเติบโตไม่น้อยกว่าปีละ 10-15% จากธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจรีเทล ประกอบการเข้าซื้อกิจการใหม่ ๆ ซึ่งคาดหวังจะมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ราว 15%
ทั้งนี้ ธุรกิจโรงแรม บริษัทตั้งเป้าในปี 63 จะมีโรงแรมเพิ่มเป็น 210 แห่ง จากปัจจุบันมีโรงแรมทั้งสื้น151 แห่ง โดยธุรกิจโรงแรมเติบโตต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดจะมีสัดส่วนรายได้จากในประเทศ 34% ต่างประเทศ 66% ซึ่งเป็นทั้งโรงแรมที่บริษัทเข้าไปลงทุนเอง และรวมถึงโรงแรมที่บริษัทมีการเข้าไปรับจ้างบริหาร
นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานของโรงแรมในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเพิ่มขึ้นและกลุ่มโรงแรม ทิโวลี ประเทศโปรตุเกส ที่จะเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว และการรับรู้ผลการดำเนินงานเนื่องจากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 50% เป็น 100% ของโรงแรมรอยัง ลิฟวิ่งสโตน บาย อนันตรา และโรงแรมอวานี วิคตอเรียฟอลส์ ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นในช่วงเดิอนก.ค.ที่ผ่านมา
ด้านธุรกิจอาหารคาดว่าน่าจะเติบโตได้ราว 15% ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าปี 63 จะมีร้านอาหารเพิ่มเป็น 3,100 สาขา จากปัจจุบัน 1,883 สาขา โดยจะมีการเติบโตจะมาจากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) และการขยายสาขาใหม่ โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ธุรกิจอาหารในประเทศปี 63 เพิ่มเป็น 58% และต่างประเทศเป็น 42% ตามลำดับ ขณะที่ธุรกิจจัดจำหน่ายจะเพิ่มเป็น 360 กลุ่ม จากปัจจุบันที่ 300 กลุ่ม
อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าปี 63 สัดส่วนรายได้รวมจะมาจากต่างประเทศ และในประเทศ 50:50 จากปัจจุบัน มีสัดส่วนรายได้ ในประเทศ 53% และ ต่างประเทศ 47% โดยบริษัทยังคงมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่องทั้งธุรกิจโรงแรมและอาหาร โดยวางงบลงทุนปี 59-63 ราว 4 หมื่นล้านบาท
ขณะที่นักวิเคราะห์บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ฯ (25 ส.ค.) แนะนำ“ซื้อ“ให้ราคาเป้าหมายที่ 48 บาทเนื่องจากยังมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของ MINTที่ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังของปี59 คาดว่ากำไรโตเด่นหลังได้อานิสงส์จากการเข้าสู่ High Seasonซึ่งท่องเที่ยวไทยยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หนุนกำไรเติบโต 19.1% จากปีก่อน
นอกจากนี้มองว่า MINT มีความเสี่ยงอยู่น้อย เนื่องจากไม่ได้พึ่งพิงรายได้ทางใดทางหนึ่งแต่เน้นการกระจายตัวธุรกิจที่หลากหลายทั้งนี้ได้ประมาณปี 59 จะมีกำไรปกติ 5,606 ล้านบาท โต 19.1%จากปีก่อนและโต 13.8%ในปี 60
ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ (11 ส.ค.) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 50 บาท หลังแนวโน้มไตรมาส 3/59 กำไรปกติเติบโตจากปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า รวมทั้งมองว่าอัตราการเติบโตดีกว่าในไตรมาส 2/59 เนื่องจากคาดผลประกอบการของโรงแรมเดิมยังดีต่อเนื่อง รวมถึงการเป็นช่วง high season เต็มไตรมาสของ Tivoli ประกอบกับอาจเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Anantara serviced suits ที่เชียงใหม่นอกจากนี้คาดธุรกิจร้านอาหารยังโตต่อเนื่องทั้งในไทยและจีน
โดยล่าสุดราคาหุ้น MINT ปิดตลาดวานนี้ (25ส.ค.) ราคาอยู่ที่ 40.75 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 2.25% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 887.25 ล้านบาท
ทั้งนี้ มองว่าราคาหุ้น MINT ยังสามารถไปต่อได้ หลังเข้าสู่ช่วงท่องเที่ยว รวมทั้งยังมีรายได้จากธุรกิจทั้งในและต่างประเทศหนุนผลประกอบการโตโดดเด่นในระยะยาว รวมทั้ง P/E ต่ำกว่ากลุ่มที่ 20.26 เท่า ด้านราคาหุ้นยังมี อัพไซด์ 22.70% จากราคาเป้าหมาย 50 บาท