EPG หุ้น Growth Stock ที่นักลงทุนคู่ควรแนวโน้มธุรกิจโตข้ามปี อัพไซด์สูงกว่า 40%
กูรูชู EPG เป็นหุ้น Growth Stock มองแนวโน้มกำไรเติบโตสวย หลังเข้าช่วง High Season ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน บริษัทลูกช่วยดันกำไรโตข้ามปี อัพไซด์พุ่งกว่า 40% จากราคาเป้าหมาย 19 บาท
กูรูชู EPG เป็นหุ้น Growth Stock มองแนวโน้มกำไรเติบโตสวย หลังเข้าช่วง High Season ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน บริษัทลูกช่วยดันกำไรโตข้ามปี อัพไซด์พุ่งกว่า 40% จากราคาเป้าหมาย 19 บาท
อีกหนึ่งหุ้น Growth Stock ที่น่าสนใจ ด้วยจุดเด่นจากการเป็นผู้นำนวัตกรรมสินค้า อย่าง EPG ที่หลังจากจุดพลุฉลอง งบไตรมาส 1/60 ที่มีกำไรเพิ่มขึ้น 32% มาที่ 381.10 ล้านบาทแล้ว แนวโน้มกำไรไตรมาส 2 ก็มีทีท่าจะโตอย่างแข็งแกร่ง รวมทั้งยังได้รับอานิสงค์ระยาวหากมีการเปลี่ยนแปลงมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (26 ส.ค.) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 19.00 บาท หลังมองแนวโน้มกำไรปี 59/60 เติบโต 17% จากปีก่อน มาที่ 1.66 พันล้านบาท ด้วยแรงขับเคลื่อนจาก 3 ธุรกิจหลักทั้ง AFC ARK และ EPP นอกจากนี้ EPG ยังถือเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้รับผลบวกต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ในส่วนกำไรไตรมาส 2/59-60 (ก.ค.-ก.ย. 59) มองว่ายังแข็งแกร่งเติบโตจากไตรมาสก่อน ซึ่งมีแรงหนุนจาก 1) ความต้องการฉนวนยางที่มากขึ้นในช่วงฤดูกาลก่อสร้างของสหรัฐ (ตลาดหลักของธุรกิจ AFC ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 25%) และ 2) การใช้กำลังการผลิตเฟส 2 ของ EPP ซึ่งจะผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกเกรดต่ำกว่าเฟส 1 โดยมีจุดเด่นจากการผลิตที่รวดเร็ว และสามารถลดค่าใช้จ่ายแรงงานคนไปได้มาก อีกทั้ง EPG ได้นำแนวทางการผลิตดังกล่าวไปปรับใช้กับสายการผลิตเฟส 1 ด้วย จึงคาดว่านอกจากจะช่วยหนุนรายได้แล้ว ยังหนุนให้ Gross Margin เพิ่มขึ้นจาก Economy of Scale
นอกจากนี้ ในระยะยาวจะได้รับอานิสงค์บวกจากรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากผู้ผลิตจะต้องหันมาใช้พลาสติกแทนที่วัสดุอื่นๆเพื่อลดน้ำหนักให้มากที่สุด ซึ่งในส่วนของธุรกิจ EPP มีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับการผลิตรองรับไว้แล้ว
พร้อมประเมิน FV อิง PEG 1.2 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 19.00 บาท ส่วน Dividend Yield อยู่ในระดับต่ำ 1.6% เพราะอยู่ในช่วงการเติบโต โดยรวมถือว่าเป็น Growth Stock ที่น่าลงทุนระยะยาว
ขณะเดียวกัน บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ (19 ส.ค.) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 17.50 บาท มองแนวโน้มยอดขายปี 59/60 โตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อน และใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้ จากแผนรุกตลาดต่างประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตหนุนกำไรโตต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนจาก 1) ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน (AFC) ที่ขยายตัวได้ดีในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียนที่มีการเติบโตสูง 2) ธุรกิจอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ (ARK) คาดโตเด่น หลังความนิยมหลังคากระบะเพิ่มขึ้น บวกกับลูกค้ารายใหญ่มีการขยายกำลังผลิตรถกระบะ ซึ่งคาดหนุนยอดขายในประเทศให้โตต่อเนื่อง
ส่วนตลาดต่างประเทศคาดได้แรงหนุนจากผลการดำเนินงานของ TJM บริษัทย่อย ที่มีทิศทางเป็นบวกมากขึ้น หลังพ้นช่วงปรับปรุงโครงสร้างและเริ่มใช้ระบบสั่งซื้อจากส่วนกลาง ทำให้วางจำหน่ายสินค้าในร้านสาขาเพิ่มขึ้นราว 10-20% อีกทั้งยังมีแผนเพิ่มสินค้าใหม่อีกกว่า 10 ชนิด พร้อมตั้งเป้าขยายสาขา TJM อีกกว่า 19 สาขาในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 59/60-61/62) และ 3) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก (EPP) คาดจะกลับมาโตตั้งแต่ช่วงไตรมาส2/59/60 หลังโรงงาน EPP Phase 2 สามารถดำเนินงานได้เต็มประสิทธิภาพ จากปัจจุบันเดินเครื่องได้เพียง 40% พร้อมวางแผนรุกขยายตลาดใหม่เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการคุณภาพสินค้าต่ำลงจากปัจจุบันที่บริษัทเน้นผลิตแต่สินค้าคุณภาพสูง
ส่วนแนวโน้มช่วงไตรมาส 2/59 ถึงปี 60 กำไรโตจากปีก่อน หลังได้แรงหนุนจากเข้าสู่ High Season ของธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน (AFC) ส่วนธุรกิจอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ (ARK) คาดยังคงโตเด่น จาก TJM จะที่ผลประกอบการมีทิศทางที่ดีขึ้น และธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก (EPP) จะกลับมาโต หลังเริ่มเปิดใช้งานเครื่องจักรใหม่ในโรงงาน EPP Phase 2 ที่ระยอง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการผลิตสูง หนุนให้เกิด Economies of Scales มากขึ้น ดังนั้นปี 2559/60 จึงคาด EPG จะมีกำไรปกติ 1,728 ล้านบาท เติบโต 32.9% จากปีก่อน และโตต่อ 19.2% ในปี 2560/61
จากประเด็นข้างต้นคาดหนุนกำไรให้โตสดใสในระยะยาว จากราคาเป้าหมายปี 2559/60 ที่ 17.50 บาท (อิงวิธี PER 28.4 เท่า) พร้อมคาดให้ Div. Yield ปีละ 1.8%
โดยล่าสุดราคาหุ้น EPG ปิดตลาด (26 ส.ค.) ที่ 13.30 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.76% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 249.83 ล้านบาท
ทั้งนี้ มองว่าราคาหุ้น EPG ยังสามารถไปต่อได้ หลังกูรูมองแนวโน้มไตรมาส 2/59 ถึงปี 60 ยังเติบโตแข็งแกร่ง เข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน รวมทั้งยังมีกำไรจากบริษัทย่อยที่จะมาช่วยหนุนผลประกอบการอีกด้วย ด้านราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 42.86% จากราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 19.00 บาท