เช็คยัง! 8 หุ้น mai ดิ่งเหวเกิน 30%TAKUNI นำทีมดิ่งแรงรอบ 8 เดือน
เช็ค! 8 หุ้น mai ราคาดิ่งเหวเกิน 30% นำโดย TAKUNI, EFORL,LDC,UPA, BSM,SR,MPG และ DIMET ดิ่งหนักในรอบ 8 เดือนที่ผ่านมา
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ปรับตัวลงแรงในรอบ 8 เดือน โดยเทียบราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.58-31 ส.ค.59 โดยครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นที่ราคาปรับตัวลงแรงเกิน 30% นำโดย TAKUNI, EFORL, LDC, UPA, BSM, SR, MPG และ DIMET ดังนี้
หลักทรัพย์ | 31-ส.ค.-59 | 30-ธ.ค.-58 | เปลี่ยนแปลง | |
บาท | % | |||
TAKUNI | 2.12 | 3.90 | -1.78 | -45.64 |
EFORL | 0.43 | 0.77 | -0.34 | -44.16 |
LDC | 1.60 | 2.66 | -1.06 | -39.85 |
UPA | 0.73 | 1.18 | -0.45 | -38.14 |
BSM | 0.39 | 0.62 | -0.24 | -38.10 |
SR | 2.80 | 4.30 | -1.50 | -34.88 |
MPG | 0.70 | 1.04 | -0.34 | -32.69 |
DIMET | 3.86 | 5.70 | -1.84 | -32.28 |
อันดับ 1 บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 2.12 บาท (31 ส.ค.59) ลบ 1.78 บาท หรือลดลง 45.64% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 3.90 บ. (30 ธ.ค.58) โดยราคาหุ้นร่วงแรงแรงในช่วง 8 เดือน ส่วนหนึ่งมาจากประเด็นการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทจำนวน 400 ล้านบาท จากเดิม 200 ล้านบาท เป็น 600 ล้านบาท ในช่วงปลายปีก่อน ทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกมาไม่หยุดและกระทบมาจนถึงช่วงดังกล่าว ประกอบกับหุ้นไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนทำให้นักลงทุนขายทำกำไรหลังหุ้นขึ้นแรงก่อนหน้านี้
อีกทั้งตัวธุรกิจหลักก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquid Petroleum Gas: LPG) และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซปิโตรเลียมเหลว สร้างผลกำไรไม่ดีนัก ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/59 มีกำไรสุทธิ 0.93 ล้านบาท ลดลง 97% จากปีก่อนมีกำไร 28.41 ล้านบาท ยิ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง
อย่างไรก็ตามแม้ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 จะมีกำไรสุทธิ 18.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 155% จากปีก่อนมีกำไร 7.34 ล้านบาท แต่ดูเหมือนว่าราคาหุ้นจะไม่ฟื้นตัวตาม เนื่องจากจนถึงขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนธุรกิจออกมาให้ชัดเจน ประกอบกับตลาดหุ้นช่วงดังกล่าวไม่สดใสยิ่งทำให้ราคาอ่อนตัวต่อเนื่อง
อันดับ 2 บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 0.43 บาท (31 ส.ค.59) ลบ 0.34 บาท หรือลดลง 44.16% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 0.77 บ. (30 ธ.ค.58) ราคาหุ้นอ่อนตัวตลอดช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากหุ้นไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ประกอบกับตัวธุรกิจที่ออกมาไม่สดใสเห็นได้งบ Q1/59 มีผลขาดทุนสุทธิ 32.26 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 103.11 ลบ.
อีกทั้งงบ Q2/59 ขาดทุน 49.48 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 20.20 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการลดลง ส่วนงวด 6 เดือนขาดทุน 81.74 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 123.31 ล้านบาท ยิ่งทำให้ราคาหุ้นอ่อนตัวไม่หยุดในช่วงดังกล่าว
อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าผลงานครึ่งปีหลังจะดีขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ โดยคาดว่ารายได้ปีนี้จะอยู่ที่ราว 5,000 ล้านบาท ตรงนี้ก็อาจจะช่วยหนุนให้ราคาหุ้นฟื้นตัวได้อีกครั้ง
อันดับ 3 บริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) หรือ LDC ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 1.60 บาท (31 ส.ค.59) ลบ 1.06 บาท หรือลดลง 39.85% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.66 บ. (30 ธ.ค.58) ราคาหุ้นอ่อนตัวตลอดช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มีปัจจัยหลายอย่าง อาทิ พื้นฐานบริษัทไม่แข็งแกร่ง เนื่องจากขาดทุนตั้งแต่ปี 58 ขณะเดียวกันประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 100 ล้านบาท เป็น 150 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 200 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นจำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น ให้ผู้ถือหุ้นเดิม 4:1 ที่ราคา 1 บ. และจำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น เสนอขาย PP
อีกทั้งงบ Q1/59 ขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 14.27 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 4.98 ล้านบาท ผสมกับหุ้นเสนอขาย PP ราคาหุ้นละ 1.63 บ.จำนวน 50 ล้านหุ้น เข้าซื้อขายช่วงเดือนมิ.ย. และผลการดำเนินงาน Q2/59 มีผลขาดทุนสุทธิ 19.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 255% จากปีก่อนขาดทุน 5.38 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ประกอบกับตลาดหุ้นช่วงดังกล่าวไม่สดใสยิ่งทำให้ราคาอ่อนตัวต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนทิ้งหุ้นตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามบริษัทคาดในปี 60 จะพลิกกลับมามีกำไร และคาดว่ารายได้จะแตะ 1 พันล้านบาท จากการเน้นขยายสาขาที่ในปีนี้ บริษัทฯยังคงเน้นการลงทุนจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายหาทำเลเพื่อขยายสาขาใหม่เพิ่มเติมให้ได้รวมกันทั้งสิ้น 40 สาขา ภายในในปี 60
อันดับ 4 บริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ UPA ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 0.77 บาท (31 ส.ค.59) ลบ 0.45 บาท หรือลดลง 38.14% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.18 บ. (30 ธ.ค.58) ราคาหุ้นอ่อนตัวตลอดช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทยังประสบปัญหาขาดทุนเรื้อรัง ทำให้ข่าวดีที่เข้ามาสนับสนุน อาทิ เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ขนาด 200 เมกะวัตต์ (MW) กับกระทรวงพลังงานสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และเซ็น MOU ร่วมมือ System Integrator ใหญ่ของเวียดนาม ไม่ได้ช่วยหนุนราคาหุ้นให้ฟื้นตัวแต่อย่างใด
ประกอบกับงบ Q1/59 ขาดทุน 33.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.01% จากปีก่อนขาดทุน 20.51 ล้านบาท และงบ Q2/59 ขาดทุน 34.12 ล้านบาท ลดลง 5.64% จากปีก่อนขาดทุน 36.16 ล้านบาท ส่วน 6 เดือน ขาดทุน 67.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.12% จากปีก่อนขาดทุน 56.84 ล้านบาท ยิ่งทำให้ราคาหุ้นอ่อนตัวไม่หยุดในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา
อันดับ 5 บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSM ราคาหุ้นปรับอยู่ที่ระดับ 0.39 บาท (31 ส.ค.59) ลบ 0.24 บาท หรือลดลง 38.10% จากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 0.62 บ. (30 ธ.ค.58) ราคาหุ้นอ่อนตัวเนื่องจากผลงานที่ผ่านมายังไม่โดดเด่น แม้ว่าบริษัทจะมีข่าวดีออกมาหนุนอาทิ ทุ่มงบ 372 ล้านบาท ทำโครงการชุมชนหลังเกษียณสร้างรายได้ค่าเช่า และตั้งบริษัทย่อยบริหารจัดการโครงการ Senior Living Project ราคาหุ้นก็ยังไม่ฟื้น
เนื่องจากงบ Q2/59 ขาดทุนสุทธิ 1.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากปีก่อนขาดทุนสุทธิ 1.10 ล้านบาท ส่วน 6 เดือนกำไรสุทธิ 0.97 ล้านบาท ลดลง 83% จากปีก่อนกำไร 5.69 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริการเพิ่มขึ้นยิ่งทำให้ราคาหุ้นอ่อนตัวไม่หยุดในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 60 สูงขึ้นเป็น 800-900 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ราว 700 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ คือ โครงการชุมชนหลังเกษียณภายใต้ชื่อ Sansara หัวหิน เข้ามาบางส่วนตั้งแต่ปลายปีนี้ ก่อนที่จะทยอยรับรู้ฯเต็มที่ในช่วงปี 60-62 โดยในปี 60 จะรับรู้ฯ ราว 125 ล้านบาท ปี 61 ราว 200 ล้านบาท และปี 62 จะมีรายได้ราว 150 ล้านบาท
หากสังเกตหุ้นปรับตัวลงแรง ส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบในเรื่องผลประกอบการ และทิศทางธุรกิจยังไม่สดใสทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามหากมองอีกด้านหนึ่งถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้สะสมหุ้นกลุ่มนี้ เพราะยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนปีนี้ที่หุ้นเหล่านี้จะได้พิสูจน์ผลงงาน และโชว์แผนธุรกิจให้กับนักลงทุนได้มั่นใจ ถึงตอนนั้นหุ้นเหล่านี้ก็มีโอกาสฟื้นตัวสดใสอีกครั้งก็เป็นได้
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้นเป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำหรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตามล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน