TKN แรงดีไม่มีตก กูรูฟันกำไร Q3 นิวไฮต่อ อัพไซด์สูงปรี๊ด!
โบร์กเชียร์ "ซื้อ" TKN หลุดบ่วง Cash Balance พร้อมเข้าไฮซีซั่นธุรกิจ Q3/59 กำไรนิวไฮ ยกทัพบุกตลาดต่างประเทศกระหึ่ม ปรับประมาณการณ์กำไรระยะยาวถึงปี 67 รับประโยชน์ BOI อัพไซด์พุ่งกว่า 44% จากราคาเป้าหมาย 32 บาท
โบร์กเชียร์ “ซื้อ” TKN หลุดบ่วง Cash Balance พร้อมเข้าช่วงไฮซีซั่นธุรกิจสาหร่ายทอดกรอบใน Q3/59 มองกำไรทำนิวไฮ ยกทัพบุกตลาดต่างประเทศกระหึ่ม ปรับประมาณการณ์กำไรระยะยาวถึงปี 67 รับประโยชน์ BOI อัพไซด์พุ่งกว่า 44% จากราคาเป้าหมาย 32 บาท
ราคาพุ่งกระฉูดหยุดไม่อยู่สำหรับหุ้นบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตสาหร่ายทอดกรอบที่ครองใจผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศอย่าง “เถ้าแก่น้อย” ที่หลุดบ่วง Cash Balance มาได้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 ก.ย.) ดันราคาทะยานกว่า 11% กูรูหลายสำนักประเมินกำไรไตรมาส 3/59 นิวไฮต่อเนื่อง หลังส่งออกจีนโตแข็งแกร่ง ลุยออกแคมเปญกระหน่ำ
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศให้ TKN สิ้นสุดระยะเวลาการใช้เกณฑ์ Cash Balance เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 ก.ย.) และทางตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่ได้ทำการต่ออายุแต่อย่างใด
อนึ่งตลาดหลักทรัพย์ ออกประกาศหลักทรัพย์ TKN เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย ระดับ 1 : Cash Balance เมื่อวันที่ 29 ส.ค.59 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นาย พีระ เดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN เปิดเผยว่า บริษัทเพิ่มเป้ายอดขายปีนี้เป็นเติบโต 25% มาที่ 4.3 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท เนื่องจากประสบความสำเร็จจากการขยายการส่งออกสินค้าไปตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีนและเวียดนาม ที่สินค้าของบริษัทได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศอยู่ที่ 60% และสัดส่วนยอดขายในประเทศอยู่ที่ 40% ซึ่งคาดว่าทั้งปีนี้สัดส่วนยอดขายจะยังคงอยู่ในระดับดังกล่าวต่อไป
รวมทั้งในเดือนกันยายนนี้บริษัทจะมีการประชุมคณะกรรมการ เพื่อทบทวนแผนระยะยาวที่ได้ตั้งเป้ายอดขายในปี 61 ไว้ที่ 5 พันล้านบาท ก็มีโอกาสทำได้เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ โดยมีความเป็นไปได้ที่จะทำได้ตามเป้าในปี 60 เนื่องจากยอดขายของบริษัทในปีนี้ทำได้เข้าใกล้เป้าหมายดังกล่าวค่อนข้างมาก ประกอบกับบริษัทก็ยังคงมีการทำตลาดและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าอยู่ราว 150 หน่วย (sku) และการออกแคมเปญการตลาดกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง โดยแต่ละปีบริษัทตั้งงบการตลาดไว้ที่ 5-6% ของยอดขายรวม ขณะเดียวกันขยายสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ ที่ปัจจุบันมี 6 สาขา จะเปิดสาขาที่ 7 ย่านพระรามเก้าในเดือนกันยายนนี้
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 คาดว่ารายได้และกำไรจะทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องจากไตรมาส 2/59 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1.11 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 184.7 ล้านบาท เนื่องจากช่วงครึ่งปีหลังตั่งแต่ไตรมาส 3/59 เป็นต้นไป เป็นช่วงเริ่มสู่ไฮซีซั่นของธุรกิจสาหร่ายทอดกรอบ ประกอบกับบริษัทยังมีการเพิ่มแคมเปญทางการตลาดที่มากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ยังชะลอตัวอยู่ ทำให้บริษัทยังกังวลผลกระทบที่อาจจะมีต่อกำลังซื้อ ส่งผลให้บริษัทจะต้องมีการกระตุ้นความสนใจของลูกค้าให้เหมือนกับเป็นสินค้าที่ต้องบริโภคในชีวิตประจำวัน
ทั้งนี้บริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิในปีนี้จะอยู่ที่ 16% จากปีก่อนที่ 11% หลังจากอัตรากำไรสุทธิของบริษัทในครึ่งปีแรกทำได้อยู่ที่ 16.04% จากต้นทุนการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง หลังจากมีการขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น ซึ่ง SG&A ในต่างประเทศอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าในประเทศ รวมไปถึงอัตรากำไรสุทธิในต่างประเทศอยู่ในระดับที่สูงอยู่ที่ 18-19% ส่วนในประเทศอยู่ที่ 10% อย่างไรก็ตามบริษัทยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ต้นทุนราคาสาหร่ายที่เป็นวัตถุดิบหลักนั้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีผู้ประกอบการหลายรายเข้าไปซื้อสาหร่ายในแหล่งเดียวกัน ทำให้ราคาขายสาหร่ายที่เป็นวัตถุดิบเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้บริษัทวางแผนที่จะเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีนอย่างน้อย 1 ราย ภายในปี 60 หลังจากโรงงานผลิตแห่งใหม่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ แล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/60 ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 6,000 ตัน/ปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตทั้งหมด 6,000 ตัน/ปี ซึ่งทำให้ในปี 60 กำลังการผลิตของบริษัทจะเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าที่จะนำสินค้าของบริษัทไปจำหน่ายต่อ โดยเฉพาะลูกค้าในประเทศจีน ที่มีความต้องการมาก โดยปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายในจีนแล้ว 2 ราย ใน 2 มณฑล ได้แก่ กว่างโจว และเซียงไฮ้
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” TKN ราคาเป้าหมาย 32.00 บาท โดยมองว่าหลังประกาศกำไรสุทธิครึ่งปีแรกโตก้าวกระโดดถึง 173% จากปีก่อน และถือว่าเป็นสถิติสูงสุดใหม่ด้วยเป็น 345 ล้านบาท รับผลพวงจากรายได้ขายแข็งแกร่งเพิ่ม 41% ซึ่งมีแรงผลักดันมาจากยอดขายต่างประเทศที่สูงขึ้น 55% และการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกิจกรรมการตลาดในประเทศ รวมทั้งการขายต่างประเทศในสัดส่วนที่มากขึ้นนั้น ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายขาย-บริหารได้เป็นอย่างดี ซึ่งปกติการขายต่างประเทศเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าในประเทศ คาดว่ากำไรในช่วง ครึ่งปีหลัง จะยิ่งปรับตัวดีขึ้น เพราะย่างเข้าสู่ฤดูกาลที่ดี (high season)
นอกจากนี้ บริษัทจะได้รับประโยชน์จากสิทธิพิเศษของ BOI ในเรื่องการลดหย่อนภาษีสำหรับโรงงานแห่งใหม่เป็นเวลา 7 ปี ทางบริษัทมีแผนที่จะนำส่วนการผลิตเพื่อส่งออกย้ายมายังโรงงานใหม่ จึงเป็นที่มาของการปรับประมาณการกำไรตั้งแต่ปี 60 ให้ดีขึ้นจนไปถึงปี 67 สำหรับปี 60 ที่เพิ่งเริ่มต้น ส่วนการส่งออกได้สิทธิประโยชน์เพียง 50% เพราะเป็นปีแรก
สำหรับแนวโน้มการเติบโตมีความสดใส โดยเฉพาะตลาดจีนที่มีการเติบโตสูงมาก พิจารณาจากยอดขายไปจีนปี 57 +229% และปี 58 +169% บริษัทกำลังมองหาพันธมิตรที่จะมาทำ e-commerce สำหรับตลาดจีน คาดว่าจะได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้บริษัทพยายามหาตลาดใน CLMV อื่นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง ส่วนโปรแกรมการควบคุมต้นทุน เช่น ใช้ระบบ automation มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนการบรรจุ สิ่งที่น่าสนใจคือ เพื่อป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับวัตถุดิบคือ สาหร่าย บริษัทก็สนใจที่จะกลับไปเป็นผู้ทำสาหร่ายเอง (upstream operation) เราเชื่อว่าหากทำได้สำเร็จ ก็จะทำให้อัตรากำไรของ TKN มีโอกาสที่จะสูงขึ้นไปอีก
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์แนะนำ “Outperform” สำหรับ TKN ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท โดยมองว่าสินค้าเป็นที่ต้องการอย่างมาก และยังสามารถขยายไปยังตลาดใหม่ๆ ได้ โดยสินค้ามีรสชาติดี และมีการยอมรับตรายี่ห้อ “เถ้าแก่น้อย” นอกจากนี้บริษัทสามารถขยายธุรกิจทั้งในประเทศ และส่งออกอย่างรวดเร็ว โดยการโตของธุรกิจในประเทศ (คิดเป็น 45% ของรายได้รวม) มาจากการชิงส่วนแบ่งตลาดมาจากคู่แข่ง ในขณะที่การเติบโตของส่งออก (55% ของรายได้รวม) จะมาจากการเติบโตของการส่งออกไปจีน (33% ของรายได้รวม) ที่คาดว่าจะยังแข็งแกร่งต่อเนื่องในอีกสองปีข้างหน้า บวกกับตลาดใหม่ๆ เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม
รวมทั้งมีศักยภาพในการเติบโตอย่างสูงในประเทศจีนในอีก 2 ปีข้างหน้า การส่งออกไปจีนเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากการส่งออกแค่ไม่ถึง 100 ล้านบาทในปี 56 เป็นมากกว่า 1.5 พันล้านบาทในปัจจุบัน และแม้ว่ายอดขายจะเติบโตขึ้นมาแล้วอย่างมาก แต่การเติบโตยังมีอีกมากเนื่องจากในปัจจุบันสินค้าของบริษัทมีการจัดจำหน่ายผ่านห้างในรูปแบบ modern trade เยงแค่ 20% ของห้าง modern trade ทั้งหมดในประเทศจีนเท่านั้น การกระจายสินค้าให้ครบทุกช่องทางการจัดจำหน่ายในจีนก็ทำให้ TKN เติบโตได้อีกมาก ใน 2-3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ Margin เพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทส่งออกมากขึ้นช่วยให้บริษัทใช้ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดลดลง ซึ่งทำให้สัดส่วน SG&A/รายได้ลดลง ในขณะที่สิทธิประโยชน์ทางภาษีตาม BoI จากการขยายกำลังการผลิตอีกเท่าตัวก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายภาษีนิติบุคคลและหนุนให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอีก 10%
ขณะเดียวกันบล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” TKN ให้ราคาพื้นฐาน 24.00 บาท โดยมองแนวโน้มยอดขายและกำไรยังทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องในช่วงไตรมาส3 ปีนี้จนถึงไตรมาส1 ปีหน้า ขณะที่ยังมียอดขายเพิ่มขึ้นจากโรงงานใหม่ที่จะเปิดดำเนินงานเฟสแรกช่วงต้นปี 60 จะเป็นส่วนสำคัญในการปรับประมาณการของฝ่ายวิจัยฯในอนาคต เพราะทำให้เห็นความต้องการสินค้าในประเทศคู่ค้าสำคัญอย่าง อินโดนีเซีย เวียดนามและอีกหลายๆประเทศ โดยเฉพาะตัวแทนการจัดจำหน่ายในจีนที่จะสามารถกระจายสินค้าไปยัง modern trade ได้เพิ่มมากขึ้น และการสร้างระบบ e-commerce เพื่อบุกตลาด online ในจีนจัดให้ TKN เป็นหุ้นหนึ่งในกลุ่ม Top picks ของปี 2559
ราคาหุ้น TKN ปิดตลาดวานนี้ (19 ก.ย.) ที่ 22.30 บาท บวก 2.20 บาท หรือ 10.95% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 828.87 ล้านบาท