ส่องหุ้น 2 ตัวท็อปกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์แนวโน้ม OUTPERFORM-กำไรแหล่ม
ส่อง 2 หุ้นตัวท็อปกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ KCE-DELTA โบรกฯ มองราคาหุ้นมีแนวโน้ม OUTPERFORM ตลาด ลุ้นผลงานไตรมาส 3/59 โดดเด่น
ส่อง 2 หุ้นตัวท็อปกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ KCE-DELTA โบรกฯ มองราคาหุ้นมีแนวโน้ม OUTPERFORM ตลาด ลุ้นผลงานไตรมาส 3/59 โดดเด่น
โดยนักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ (22 ก.ย.) ว่าปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นเป็น “มากกว่าตลาด” จากเดิม “เท่าตลาด” เชื่อว่าหุ้นในกลุ่มจะได้ประโยชน์จากการเติบโตของอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ โดย Price Waterhouse Cooper (PWC) ได้คาดการณ์สัดส่วนมูลค่าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ ต่ำรถ 1 คันจะเพิ่มจาก 30% ในปี 2553 เป็น 35% ในปี 2563 และ 50% ในปี 2573
ทั้งนี้จากการศึกษาแนวโน้มดังกล่าวผลักดันโดยแนวโน้มใหญ่ 4 ประการ ได้แก่ 1) การเติบโตของรถไฟฟ้า (EV) 2) ระบบขั้นสูงในการช่วยเหลือผู้ขับขี่ (ADVA) และแนวโน้มของรถไร้คนขับ (autonomous vehicle) 3) รถที่เชื่อมต่อกับยานพาหนะอื่น (connected car) และ 4) ความแพร่หลายของระบบป้องกันความปลอดภัยในยานยนต์ (advanced safety and security features) ซึ่งจะหนุนทั้งอุปสงค์ของเซนเซอน์เอง ความต้องการแผ่นวงจรพิมพ์ (automotive PCB) และการเติบโตของอุปกรณ์ประจุไฟบนยานพาหนะ (onboard charging) ทั้งนี้เลือก KCE เป็นหุ้นเด่นจากการเป็นผู้ผลิตหมายเลข 6 ในอุตสาหกรรมผลิตแผ่นวงจรพิมพ์สำหรับยานยนต์ และมีส่วนแบ่งรายได้มาจากยานยนต์ ถึง 70% ของรายได้รวม โดยคาดการณ์การเติบโตที่สูงที่สุด 19% CAGR ระหว่างปี 2560-62 และ DELTA เป็นอันดับสอง จากการเป็นผู้นำการผลิตอุปกรณ์จ่ายไฟ
ด้านบล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินกำไรหลักไตรมาส 3/59 ของ KCE เบื้องต้นที่ 815 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 6% เทียบไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลของยอดสั่งซื้อ, อุปสงค์ที่ยังคงแข็งแกร่งของ PCBs ในอุตสาหกรรมรถยนต์และการขยายกำลังการผลิต เราคาดกำไรขั้นต้นจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกจากยอดขายที่สูงขึ้นส่งผลให้เกิดการประหยัดต่อขนาด บริษัทจะเริ่มดำเนินการลงเครื่องจักรสำหรับเฟส 3 (2 แสนตร.ฟุต ในไตรมาส 3/59 และ 500แสน ตร.ฟุตในปีหน้า) อีกทั้งยังมีการปรับปรุงโรงงานที่ จ.อยุธยา เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 1 แสนตร.ฟุต/เดือน พร้อมกับประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น คาดไตรมาส 3/59 กำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง
โดยคงประมาณการกำไรปี 2559 และปรับราคาเป้าหมายไป ณ สิ้นปี 2560 ที่ 121 บาท แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ 22% ตั้งแต่เราเริ่มกลับมาให้คำแนะนำ ซื้อ KCE เราเชื่อว่าราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ โดยกำไร 2 ไตรมาสแรกทำสถิติสูงสุดจากการประหยัดขนาดที่ดีขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตที่โรงงานใหม่และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต จากมุมมองของเราตัวเลขที่น่าประทับใจยังคงไม่หยุดแค่นี้ และคาดว่าน่าจะทำสถิติใหม่ต่อเนื่องได้ในไตรมาส 3/59
นอกจากนี้ บล.กสิกรไทย แนะนำ “ซื้อ” DELTA ราคาเป้าหมาย 77 บาท ทั้งนี้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์มีการเติบโตที่รวดเร็วเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม เนื่องมาจากแนวโน้มการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้า (EV cars) ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้งานภาคจ่ายไฟที่มากขึ้นตามขนาดของเครื่องยนต์
โดยเดลต้าโฟกัสที่อุปกรณ์ประจุไฟบนยานพาหนะ (onboard charger) อาทิ onboard charger (ตัวประจุไฟจากไฟบ้าน), DC/DC converter (ตัวควบคุมการจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ในรถ) และ Junction box (ตัวควบคุมกระแสการประจุจากสถานีประจุไฟและควบคุมเสถียรภาพองกระแส)
นอกจากนี้บริษัทแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของการใช้พัดลมที่มากกว่าที่เราคาด โดยรถสมัยใหม่มีการใช้พัดลมในหลายจุดที่เราคาดไม่ถึง เช่นการระบายความร้อนที่แบตเตอรี่ การระบายความร้อนที่คอนโซลด้านหน้า การระบายความร้อนที่ดวงไฟหน้ารถ รวมถึงการระบายความร้อนจากเบาะนั่ง ซึ่งปัจจุบันแม้จะยังอยู่ในรถหรู แต่ก็มีแนวโน้มขยายมายังรถระดับกลางมากขึ้น เชื่อว่าแนวโน้มระยะยาวของอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์เป็นบวก แต่ใช้เวลา ซึ่งการเติบโตอย่างโดดเด่นจากการผลิตเชิงพาณิชย์น่าจะอยู่ในช่วงปี 2562-64 ซึ่งสอดคล้องกับการส่งมอบยานยนต์ EV ของ TESLA และผู้ผลิตอีกหลายๆราย กำไรในช่วง 2560-61 คาดเติบโตในเลขระดับเดียวจากแรงกดดันค่าใช้จ่าย SG&A ในระดับสูง
ขณะที่ราคาหุ้น KCE ปิดตลาดวานนี้ (21 ก.ย.) อยู่ที่ 100 บาท ปรับตัวขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.25% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 169.75 ล้านบาท ขณะเดียวกันราคาหุ้น DELTA ปิดตลาดวานนี้อยู่ที่ 78.25 บาท ปรับตัวขึ้น 3 บาท หรือ 3.99% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 168.43 ล้านบาท
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้นเป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำหรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตามล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน