คัด 6 หุ้น “Defensive” กลุ่มค้าปลีกชู 3 ปัจจัยหนุนรับมือตลาดฯผันผวน
คัด 6 หุ้น “Defensive” กลุ่มค้าปลีก ชู 3 ปัจจัยหนุนรับมือตลาดฯผันผวน นำโดย CPALL, BJC, ROBINS, HMPRO, BEAUTY และ KAMART น่าเก็บ-อัพไซด์สูงทุกตัว
ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ความผันผวนโดยรวมยังอยู่ในระดับสูง เพราะขาดปัจจัยบวกใหม่เข้าหนุนการลงทุน รวมถึงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในช่วงนี้จะแกว่งกว้างมากขึ้น ตามความเห็นของการประชุมโอเปกในวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ ดังนั้นหากนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงต่อความผันผวนของดัชนี อาจต้องปรับพอร์ตการลงทุนไปสู่ “หุ้นกลุ่มปลอดภัย” หรือ Defensive ในช่วงนี้
แน่นอนหุ้นกลุ่มค้าปลีกถือเป็นกลุ่มหุ้นปลอดภัย เนื่องจากราคาหุ้นกลุ่มนี้ไม่ค่อยหวือหวา แต่สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง อัตราการเติบโตของกำไรในหุ้นกลุ่มนี้ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจน้อย เนื่องจากสินค้าหรือบริการที่ผลิตและขายจะเป็นสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้อยู่แล้วไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไรนั่นเอง
ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวม “หุ้นกลุ่มค้าปลีก” มานำเสนอ เนื่องจากมีประเด็นน่าสนใจดังนี้
-ธุรกิจกำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4/59 เชื่อว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา และคาดจะเติบโตได้ดีในครึ่งหลังปี 59-ครึ่งแรกปี 60 รวมถึงมี Upside story ที่จะหนุนให้มีการปรับประมาณการขึ้น
-คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร 3 โครงการวงเงิน 93,000 ล้านบาท
-กลุ่มค้าปลีกจะเป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่นสุดใน SET จากกำไรที่จะโตได้ดีกว่า รวมถึงโตได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตของกลุ่ม
สำหรับหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่ได้รับปัจจัยบวกดังกล่าวชัดเจน ประกอบด้วย CPALL, BJC,ROBINS,HMPRO,BEAUTY และ KAMART ซึ่งโบรกเกอร์หลายสำนักประสานเสียงเข้าลงทุนเป็นหลัก
หลักทรัพย์ | โบรกเกอร์ | คำแนะนำ | ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) |
CPALL | ดีบีเอส วิคเคอร์ส | ซื้อ | 75.00 |
CPALL | ไทยพาณิชย์ | ซื้อ | 70.00 |
CPALL | กสิกรไทย | ซื้อ | 70.00 |
BJC | ธนชาต | ซื้อ | 55.00 |
BJC | โนมูระ พัฒนสิน | ซื้อ | 55.00 |
BJC | กสิกรไทย | ซื้อ | 52.00 |
ROBINS | กสิกรไทย | ซื้อ | 71.00 |
ROBINS | ไทยพาณิชย์ | ซื้อ | 80.00 |
ROBINS | ยูโอบี เคย์เฮียน | ซื้อ | 80.00 |
HMPRO | บัวหลวง | ซื้อ | 11.00 |
HMPRO | กสิกรไทย | ซื้อ | 11.60 |
HMPRO | ฟิลลิป (ประเทศไทย) | ซื้อ | 11.00 |
BEAUTY | ธนชาต | ซื้อ | 9.40 |
BEAUTY | เออีซี | ซื้อ | 10.20 |
BEAUTY | กสิกรไทย | ซื้อ | 11.00 |
KAMART | ทิสโก้ | ซื้อ | 14.00 |
KAMART | กสิกรไทย | ซื้อ | 11.60 |
KAMART | เออีซี | ถือ | 14.50 |
ข้อมูล Consensus (www.settrade.com)
บล.บัวหลวงระบุในบทวิเคราะห์ ว่า กลุ่มค้าปลีกกำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4/59 โดยเชื่อว่าไตรมาส 4 ปีนี้จะดีที่สุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา จากรายได้เกษตรกรที่ดีขึ้น อีกทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้นและเม็ดเงินจากภาครัฐที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้กลุ่มค้าปลีกจะเป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่นสุดใน SET จากกำไรที่จะโตได้ดีกว่า SET รวมถึงโตได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตของกลุ่มเอง
โดยเลือกหุ้นที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีในไตรมาส 4/59-ครึ่งแรกปี 60 รวมถึงมี Upside story ที่จะหนุนให้มีการปรับประมาณการขึ้น ได้แก่
– BEAUTY กำไรเติบโตสูงที่สุดในกุล่ม+upside การขยายตัวในต่างประเทศและช่องทางออนไลน์
– CPALL โปรโมชั่นแสตมป์หนุนUpside ระยะสั้น การขาย MAKRO หนุน Upside ระยะยาว
– HMPRO การกลับมาเติบโตของยอดขายสาขาเดิมและการปรับโครงสร้างของ House brand ที่คาดใกล้จะแล้วเสร็จ
บล.เออีซีระบุในบทวิเคราะห์ ว่า สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1,465-1,525 จุด โดยแม้ต้นสัปดาห์ดัชนีมีโอกาสย่อตัวลงจากแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่ด้วยพื้นฐาน บจ. ไทยที่ยังแข็งแกร่ง และคาดจะมีแรงซื้อเพื่อทำ Window dressing สิ้นไตรมาสสามนี้จากกองทุน จึงคาดจะยังช่วยพยุงดัชนีให้เคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway Up ได้ในช่วงกลางสัปดาห์
ยังคงเน้นเลือกอุตสาหกรรมที่เติบโตได้แข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจพร้อมไปกับการเลือกบริษัทที่มี Business Model ที่ดีและมีแนวโน้มผลการดำเนินงานโตสดใส โดยเฉพาะหุ้นที่มีผลดำเนินงานโตเด่นในช่วงครึ่งหลังปี 59:กลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC, HMPRO, BEAUTY และ KAMART)
บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะติดตามหุ้นในกลุ่มค้าปลีก รวมถึงหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่เน้นลูกค้าระดับล่าง-กลางที่คาดได้รับประโยชน์จากการที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ที่คาดช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
อีกทั้งยังแนะจับตากลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO, KAMART และ ROBINS ที่คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร 3 โครงการวงเงิน 93,000 ล้านบาท